วันพฤหัสบดีที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2568

คนดูทะลุ 2 แสน! ย้อนรอยบอลเดินสาย 9Up Arena สุดสนุก

คนดูทะลุ 2 แสน! ย้อนรอยบอลเดินสาย 9Up Arena สุดสนุก


แฟนคลับ นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด และผู้สนับสนุนหลักในเอเชียร่วมกันสนับสนุนการแข่งขันฟุตบอลเดินสายชิงเงินแสนอย่าง 9Up Arena Tournament

รายการดังกล่าวจัดการแข่งขันโดย สปอนเซอร์หลักของ นิวคาสเซิล และแฟน ๆ ‘สาลิกาดง’ ชาวไทยที่มีนโยบาย ‘Play with FUN, be FUN’ ของตัวเองด้วยการส่งเสริมการจัดบอลเดินสายทั่วประเทศ


โดยล่าสุดแฟนคลับทีมดังพรีเมียร์ลีก ได้ร่วมเป็นผู้จัดการแข่งขัน 9Up Arena Tournament หลังจากก่อนหน้านี้เคยร่วมสนับสนุนรายการดังอย่าง GoGoal Tournament, TidTam League และ Max Queen Cup 1 มาก่อนแล้ว ซึ่งรายการนี้ทำการแข่งขันไปแล้วเมื่อวันอาทิตย์ที่ 17 สิงหาคม 2025 ที่ผ่านมา โดยในงานมีทีมเข้าร่วม 36 ทีม พร้อมชิงเงินรางวัลหลายแสนบาท

ที่น่าสนใจคือตลอดการแข่งขัน มียอดผู้ชมทางออนไลน์มากกว่า 200,000 คนเลยทีเดียว ซึ่งเรียกว่า ‘สนุก’ ตามสไตล์ ‘Play with FUN, be FUN’ ของกลุ่มแฟน ๆ อย่างชัดเจน

สำหรับรายการดังกล่าว ทีมผู้ชนะได้แก่ MADSALAE FC พร้อมคว้าเงินรางวัลกลับบ้านและความสนุกแบบ  ‘Play with FUN, be FUN’ ไปเต็ม ๆ โดยแฟนคลับนิวฯ ยังมีแจกของรางวัลมากมายหน้าเพจ ทั้งไอโฟนรุ่นใหม่หรือเล่นเกมทายผลฟุตบอลที่ ‘สนามทายผล’ ทุกสัปดาห์

แฟน ๆ สามารถติดตามรายละเอียดและภาพความประทับใจได้ที่ www.facebook.com/NUFCThailandFans และแฟน ๆ สามารถร่วมแชร์ข่าวนี้ พร้อมรับรางวัลได้ที่ LINE ID: LiveYourDream

ตามรอยเท้าช้าง ที่ Elephant Forest พิษณุโลก ปางช้างที่ขับเคลื่อนด้วยหัวใจ ของหญิงแกร่ง “ศิรอาภา ศิริวิริยะกุล”

ตามรอยเท้าช้าง ที่ Elephant Forest พิษณุโลก 
ปางช้างที่ขับเคลื่อนด้วยหัวใจ ของหญิงแกร่ง “ศิรอาภา ศิริวิริยะกุล” 
จากบทบาททายาทรุ่นที่ 4 ของกลุ่มบริษัท เกษตรไทย อินเตอร์เนชั่นแนล ชูการ์ คอร์ปอเรชั่น (KTIS) ของธุรกิจครอบครัว และในฐานะบุตรสาวของ ประพันธ์ ศิริวิริยะกุล ผู้บริหารที่ดำเนินธุรกิจหลักในอุตสาหกรรมน้ำตาลทราย และธุรกิจชีวมวล อาทิ โรงไฟฟ้าชีวมวล เอทานอล และผลิตภัณฑ์เยื่อกระดาษจากชานอ้อย "คุณปลา-ศิรอาภา ศิริวิริยะกุล” ได้จุดประกายให้กับอุตสาหกรรมท่องเที่ยว แห่งใหม่ล่าสุด ที่จังหวัดพิษณุโลก ส่งเสริมการเที่ยวอย่างมีจริยธรรม ยกระดับสวัสดิภาพชีวิตช้างด้วยเมตตา อย่างมีมาตรฐานของปางช้างด้วยความเป็นมิตรต่อช้าง ที่เอื้อให้ช้างได้สุขอย่างมีอิสระท่ามกลางธรรมชาติอย่างแท้จริง 
บนพื้นที่กว่า 900 ไร่กลางผืนป่าพิษณุโลก “ศูนย์การเรียนรู้ช้างทรัพย์ไพรวัลย์ และทรัพย์ไพรวัลย์
รีสอร์ท” ซ่อนตัวเงียบงามอยู่ในอ้อมกอดธรรมชาติ โดยมี คุณปลา-ศิรอาภา ซึ่งรั้งตำแหน่ง ผู้อำนวยการมูลนิธิช้างทรัพย์ไพรวัลย์ ทำหน้าที่บริหารจัดการและช่วยเหลือช้างแรงงานและช้างที่สุขภาพร่างกายย่ำแย่จากการทำงานหนักผ่านการสร้างความสุขให้คนเมือง ให้กลับคืนสู่วิถีตามธรรมชาติภายในป่าอุดมสมบูรณ์ โดยปัจจุบันมีช้างเพศเมีย 5 ตัว อายุ 40-60 กว่าปี ได้มีชีวิตใหม่ด้วยการฟื้นฟูร่างกายและจิตใจ ณ ศูนย์ฯแห่งนี้ 
สานต่อ ก่อด้วยรัก ประตูบานแรกสู่โลกของช้าง 
การเริ่มต้นที่ไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านสัตว์ป่า แต่เริ่มต้นจากการสั่งสมและเรียนรู้เรื่องการดูแลช้าง ด้วยความรักและความตั้งใจ เพื่อให้ช้างมีชีวิตอย่างที่ “ควรจะเป็น” คือปฐมบทในครั้งนี้ คุณปลาย้อนความทรงจำวันแรกที่ชีวิตเธอก้าวเข้าสู่โลกของช้างว่า “ตอนที่ครอบครัวตัดสินใจซื้อรีสอร์ทแห่งนี้ เจ้าของเดิมขอให้ช่วยสานต่อเจตนารมณ์ในการดูแลช้างที่ได้เริ่มไว้ แม้ว่าช้างกลุ่มนั้นจะถูกส่งไปอยู่ที่ศูนย์อนุรักษ์ช้างไทยแล้ว แต่ครอบครัวของเราก็ยังตัดสินใจสานต่อที่จะช่วยช้างกลุ่มใหม่ เพราะเรามีทั้งพื้นที่ ความรู้ในการเลี้ยงช้าง และมีกำลังพอที่จะดูแลได้ จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการช่วยเหลือและดูแลช้างอย่างต่อเนื่องมาจนถึงทุกวันนี้”

มากกว่า “ความรับผิดชอบ” คือ “ความตั้งใจ” และค่อยๆส่งผ่านเป็น ความรักและเข้าใจ ก่อนหน้า “ปลาเป็นคนรักสัตว์ แต่ไม่ได้ผูกพันกับช้างเป็นพิเศษ พอได้เริ่มทำงาน และเข้ามาดูแลช้างที่ทรัพย์ไพรวัลย์ สิ่งที่เรารู้สึกทึ่ง คือ ช้างเป็นสิ่งมีชีวิตที่พิเศษมาก ๆ เขาฉลาด เรียนรู้ และมีความเข้าใจ โดยเฉพาะเรื่องความคิด ที่มีความลึกซึ้งไม่ต่างจากมนุษย์เลย”
  ตัวอย่างเหตุการณ์ที่คุณปลารู้สึกประทับใจทุกครั้งที่นึกถึง เกิดขึ้นกับแม่ช้างท้องแก่ใกล้คลอด 
ซึ่งปกติจะมีสัตวแพทย์คอยดูแลอย่างใกล้ชิด อันเนื่องมาจากแม่ช้างที่ไม่มีประสบการณ์ อาจเหยียบ (ฆ่า) ลูกช้างหลังจากที่คลอดใหม่ๆ เพราะคิดว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้ตัวเองเจ็บท้องและไม่รู้ว่านี่คือ ลูก กระทั่งในช่วงกลางคืน แม่ช้างได้คลอดลูกช้างออกมาโดยไม่มีสัตวแพทย์อยู่ คุณยายช้างซึ่งถูกผูกโซ่ไว้อีกจุดหนึ่งที่อยู่ห่างกัน กระชากโซ่จนขาดเพื่อมายืนเฝ้าแม่ช้างกับลูกช้างที่เพิ่งลืมตาดูโลกด้วยความเป็นห่วง แสดงถึงความเอื้ออาทรของสิ่งมีชีวิตที่ไม่ต่างจากคน 
มุ่งมั่น ให้ มูลนิธิช้างทรัพย์ไพรวัลย์ เป็น ศูนย์กลางการเรียนรู้
สร้างจุดมุ่งหมายการท่องเที่ยวใหม่ “ พาช้างมาให้คนดู ” เป็น “ พาคนไปดูช้างในป่า ”
ปัจจุบันศูนย์การเรียนรู้ช้างทรัพย์ไพรวัลย์ อยู่ภายใต้การดูแลของมูลนิธิช้างทรัพย์ไพรวัลย์ ที่ก่อตั้งขึ้นจากทุนทรัพย์ส่วนตัวของครอบครัว ภายใต้เป้าหมายเดียวคือ "เพื่อสร้างความมั่นใจว่า มีทุนทรัพย์เพียงพอในการดูแลช้างระยะยาว ไม่ว่าธุรกิจโรงแรมจะขึ้นหรือลง" และมีแนวคิดในการสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อช้างและสิ่งแวดล้อมด้วยการสร้างความตระหนักรู้เรื่องช้างแก่คนทั่วไป โดยมีการปรับเปลี่ยนกิจกรรมและการดูแลช้างให้สอดคล้องกับการใช้ชีวิตตามธรรมชาติอย่างต่อเนื่อง เช่น ยกเลิกการขี่ช้างสำหรับนักท่องเที่ยว ป้อนอาหารช้าง อาบน้ำช้าง และเปลี่ยนแนวคิดจาก “พาช้างมาให้คนดู” เป็น “พาคนไปดูช้างในป่า”    
“เมื่อก่อนเราเคยให้ลูกค้าป้อนอาหารช้าง เคยมีการขี่ช้างแบบไม่ใช้แหย่ง แต่พอเรียนรู้มากขึ้นเราก็รู้ว่าถึงแม้จะไม่ใช้แหย่ง แต่ก็ยังมีผลกับสุขภาพจิตของช้างและความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว เราเลยค่อยๆ เปลี่ยนกิจกรรมทั้งหมด ไม่ขี่ช้าง ไม่ป้อนอาหารหรือสัมผัสช้าง ไม่อาบน้ำช้าง แต่เน้นการเดินตามช้างเข้าป่า 
ทำ enrichment หรือของเล่นที่ซ่อนอาหารให้ช้างได้ใช้ประสาทสัมผัสเหมือนในธรรมชาติ” คุณปลาเล่า พร้อมอธิบายให้เห็นภาพชัดว่า
“ช้างเป็นสัตว์ใหญ่แต่ขี้ตกใจ !!!!! ครั้งนึงมีเด็กนักเรียนโยนหมวกให้เพื่อน ช้างเห็นแล้วตกใจวิ่งเตลิด ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว และของควาญ รวมถึงช้างเองด้วย จึงตัดกิจกรรมขี่ช้างออกไป ส่วนกิจกรรมป้อนอาหารช้าง ช่วงก่อนหน้านั้นทุกเช้า เราจะเอาช้างมาผูกหน้าโรงแรม แล้วก็ให้ลูกค้าเอากล้วย อ้อยไปป้อน เราก็พบว่า ขณะที่ช้างยืน เขาก็จะส่ายไปส่ายมา ซึ่งตอนเด็ก ๆ จะมีคนบอกว่า ช้างเต้นรำเก่ง เปิดเพลงแล้วส่ายหัว พอปลามาเรียนรู้จากสัตวแพทย์ หรือผู้เชี่ยวชาญ เขาบอกว่าช้างส่ายมันไม่ใช่เต้นนะ มันคือ Stereotype Behavior แปลว่าช้างอาจจะเบื่อ เครียด หรือ กังวล คือ ช้างเป็นสัตว์ฉลาดต้องใช้สมองตลอดเวลา การถูกบังคับให้อยู่กับที่ เขาก็จะต้องการแสดงออกเพื่อให้ร่างกายไม่เครียด เราจึงเลิกผูกช้างหน้าโรงแรมด้วยโซ่สั้น เปลี่ยนจากเอาช้างมาให้นักท่องเที่ยวป้อนอาหาร เป็นพานักท่องเที่ยวไปหาช้างในป่าแทน ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้ไม่ใช่แค่ช้างที่สุขภาพดีขึ้น ควาญช้างเองก็ผ่อนคลายมากขึ้นด้วย เพราะไม่ต้องคอยควบคุมหรือกังวลเรื่องความปลอดภัยจากกิจกรรมใกล้ชิดมากเกินไป เช่นเดียวกับ กิจกรรมอาบน้ำ ที่อาจเกิดอันตรายหากช้างเล่นน้ำหรือไปกลิ้งทับนักท่องเที่ยว เราจึงยกเลิกกิจกรรมนี้” 
Elephant Friendly จุดเปลี่ยนที่ยั่งยืน : ความร่วมมือกับองค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลก  
จากความมุ่งมั่นที่จะพัฒนา และยกระดับ ศูนย์การเรียนรู้ช้างทรัพย์ไพรวัลย์ ให้เป็นปางช้างที่พร้อมพัฒนาสวัสดิภาพของช้างให้ดีขึ้น มูลนิธิฯ ได้เริ่มต้นความร่วมมือกับ องค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลก ประเทศไทย (World Animal Protection Thailand) ตั้งแต่ช่วงวิกฤตโควิด-19 ภายใต้โครงการ "กองทุนพรุ่งนี้ที่ดีกว่าของช้าง" 
ที่ให้การสนับสนุนสิ่งปลูกสร้างที่เหมาะสม การปลูกพืชอาหารช้าง ระบบน้ำพลังงานแสงอาทิตย์ และการดูแลสวัสดิภาพช้างในช่วงที่ขาดนักท่องเที่ยว
หลังสถานการณ์เริ่มคลี่คลาย มูลนิธิฯ จึงมุ่งพัฒนาต่อยอดไปสู่การเปลี่ยนผ่านเต็มรูปแบบสู่ " Elephant Friendly " เต็มตัว ที่ได้รับการสนับสนุนเงินทุนและองค์ความรู้สำหรับการดำเนินงาน ที่ลดการใช้โซ่ และปรับเปลี่ยนกิจกรรมแบบสัมผัสใกล้ชิด ไปสู่รูปแบบที่เคารพธรรมชาติของช้างมากขึ้น “ตอนแรกเราก็กังวลว่าจะทำได้จริงไหม แต่เมื่อได้เห็นตัวอย่างจากปางอื่น และมีผู้เชี่ยวชาญจากองค์รกรฯ มาช่วยให้คำแนะนำ เราก็มั่นใจมากขึ้น”
 เมื่อเริ่มเรียนรู้และปฏิบัติจนเห็นผลลัพธ์ คือสิ่งที่ทำให้คุณปลามั่นใจในรูปแบบของปางช้างที่เป็นมิตรต่อช้าง โดยเธอเล่าต่อว่า “เรารู้ว่าการทำงานกับช้างมีความละเอียดอ่อนแล้วก็มีประเด็นหลายอย่าง ปลาเลยค่อนข้างกังวล แต่สิ่งที่จะดีกว่าเดิม คือ ถ้าเราทำตามหลักการของ Elephant Friendly ได้ มันก็มีประโยชน์ที่จะดีกับช้างมากขึ้น เช่น ช้างถูกผูกโซ่สั้นในระยะเวลาที่สั้นลง แน่นอนอันนี้ดีกับช้าง แต่ควาญช้างก็จะเหนื่อยเพิ่มขึ้น ซึ่งตรงนี้เราก็บริหารจัดการควาญช้างด้วยการจัดสวัสดิการที่เพิ่มขึ้น เพื่อให้เขากระตุ้นให้เขารู้สึกอยากทำ 
ประเด็นถัดมาที่ต้องอธิบายกันพอสมควร คือ การไม่ให้สัมผัสช้าง ก็จะมีประเด็นว่า คนรักช้างมาถึงเขาก็อยากแสดงความรัก อยากสัมผัส อยากใกล้ชิด อยากป้อนอาหาร ซึ่งตรงนี้ปลาต้องพยายามโน้มน้าว อธิบายว่าการป้อนอาหาร มีความเสี่ยง บางครั้งช้างตกใจ หรือโกรธ ช้างอาจจะเอางวงฟาดได้ และต้องมีควาญช้างคอยควบคุมอย่างใกล้ชิด ควาญช้างก็กังวล เครียด หรือ ถ้าเกิดให้นักท่องเที่ยวอยู่ใกล้ชิดกับช้างมาก ก็มีโอกาสที่จะเกิดเหตุไม่คาดฝันจากช้าง ซึ่งสำหรับนักท่องเที่ยวแล้วคือความปลอดภัย    
ความรักของ “พังกำไร กับ แม่พังบุญหลาย” ความสุขปนรอยยิ้มของช้างที่ออกแบบได้
และที่สำคัญที่สุด คือผลต่อสุขภาพจิตของช้างหลังจากที่เราเริ่มทดลองปรับรูปแบบกิจกรรมให้ช้างได้ใช้เวลาอยู่ในธรรมชาติร่วมกันมากขึ้น เราก็เริ่มเห็นความเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจน อย่าง “พังกำไร” สาวใหญ่วัย 60+มีพฤติกรรมไม่ค่อยอยู่นิ่ง เวลาเดินก็จะเดินเร็ว ไม่สนใจใครเลย พอถึงช่วงที่นักท่องเที่ยวจะป้อนอาหาร ก็จะยืนส่ายไปมา บางทีก็ใช้งวงไปดึงมือนักท่องเที่ยว ทำให้ควาญต้องคอยระวังควบคุมพฤติกรรมตลอดเวลา แม้แต่ช้างตัวอื่นก็ไม่ค่อยกล้าเข้าใกล้ เพราะกลัว
หลังจากที่เราค่อยๆปรับพฤติกรรมโดยให้ เริ่มต้นทำกิจกรรมในป่า ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันกับช้างตัวอื่นมากขึ้น ได้เดิน ได้หากินตามธรรมชาติ ไม่ถูกกดดันหรือควบคุมแบบเดิม พังกำไรก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป เริ่มมีปฏิสัมพันธ์กับช้างตัวอื่น และสนิทกับ “พังบุญหลาย” สาวใหญ่วัย 50+ ซึ่งเป็นช้างที่นิสัยดี ใจเย็น อ่อนโยน ทุกวันนี้ พังกำไร ก็จะชอบอยู่ใกล้พังบุญหลาย ถ้าวันไหนตอนเย็นไม่ได้เจอกัน เช้าขึ้นมา เขาจะต้องมาทักทายกัน ยืนคุยกันก่อน แล้วถ้าได้เดินด้วยกันก็จะดูมีความสุขมาก เดินกินอาหาร คุยกันไป หยุดแวะเล่นดินไปด้วยกัน เรารู้สึกได้เลยว่า จากช้างที่หงุดหงิดง่าย ตอนนี้พังกำไรกลายเป็นช้างที่อ่อนโยนขึ้น และนิ่งขึ้น”
พัฒนาสู่ ต้นแบบปางช้างที่เป็นมิตรต่อช้างอย่างสมบูรณ์
   จากความร่วมมือ สู่การเปลี่ยนผ่านของ “ศูนย์การเรียนรู้ช้างทรัพย์ไพรวัลย์” ที่ให้ความสำคัญกับการยกระดับสวัสดิภาพช้างในทุกด้าน วันนี้ องค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลก และ มูลนิธิช้างทรัพย์ไพรวัลย์ เตรียมที่จะเปิดตัว “Elephant Forest Phitsanulok” เพื่อสนับสนุนให้สถานที่แห่งนี้ คือต้นแบบปางช้างที่เป็นมิตรต่อช้างอย่างสมบูรณ์ และเป็นจุดหมายปลายทางใหม่อีกแห่งเพื่อสวัสดิภาพช้างไทย พร้อมส่งเสริมการตระหนักรู้ถึงสวัสดิภาพสัตว์ และการท่องเที่ยวอย่างมีจริยธรรม อันเป็นก้าวสำคัญในการส่งเสริมการท่องเที่ยวที่คำนึงถึงชีวิตสัตว์อย่างแท้จริง โดยมีกำหนดเปิดตัวอย่างเป็นทางการในปลายเดือนสิงหาคม 2568 นี้ 
“มีคนมาถามว่า คุณปลาดูแลช้างได้ดีมากเลย แล้วคุณปลาคิดว่าจะสร้างผลกระทบเชิงบวก หรือแรงกระเพื่อมกับสังคมอย่างไร ปลาก็มาคิดว่า สมมุติว่า เราช่วยช้าง 6 ตัว ทำให้ช้าง 6 ตัว พ้นจากสภาพที่อาจจะไม่ดีเลย มาเป็นช้างที่สภาพชีวิตดีมาก อยู่ในป่ากับเพื่อนช้าง มีสังคมช้าง เหมือนได้กลับมาใช้ชีวิตที่ได้เป็นช้างอีกครั้ง แต่ถ้าเราช่วยมากกว่านี้ ก็อาจจะได้อีก 2 หรือ 4 หรือสูงสุดก็แค่ 10 ตัว ซึ่งคงไม่ตอบโจทย์ 
Elephant Friendly ที่องค์กรฯมีความมุ่งมั่นและตั้งใจที่จะให้เป็นโปรเจคที่จะเป็นตัวอย่างให้ปางช้างอื่นๆ เห็นว่า เรามีการท่องเที่ยวแบบใหม่ที่สามารถทำให้สวัสดิภาพของช้างและชีวิตของควาญช้างดีขึ้น ในขณะเดียวกันก็ยังสร้างรายได้ให้ปางช้างอยู่ได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่เรากับองค์กรฯคิดตรงกัน เพราะไม่เพียงเป็นการสร้างความเข้าใจใหม่ในการอยู่ร่วมกับสัตว์ด้วยความเคารพ แต่ยังจุดประกายให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในระดับประเทศด้วย 
“ที่ผ่านมาเราทำงานกับช้าง แล้วมีความสุข แบบตื่นมาเดินกับช้าง แล้วถ้าเรามีชีวิตแบบนี้ไปเรื่อย ๆ 
ก็ดีนะ ปลาเคยแอบมีความฝันว่า ถ้าทำธุรกิจสำเร็จแล้ว เมื่อไหร่เกษียณจะมาทำงานเป็นควาญช้าง” คุณปลา กล่าวด้วยน้ำเสียงที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขทิ้งท้าย 

วันพุธที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2568

“นพ.ธนัญชัย อัศดามงคล” แพทย์เฉพาะทางด้านศัลยกรรมตกแต่ง รพ.บางมดเอสเธติคปั้นหลักสูตรศัลยกรรมความงาม 3 – 5 ปี ชี้เรียนแพทย์ระยะยาว มีคุณภาพและปลอดภัยกว่า

“นพ.ธนัญชัย อัศดามงคล” แพทย์เฉพาะทางด้านศัลยกรรมตกแต่ง รพ.บางมดเอสเธติค
ปั้นหลักสูตรศัลยกรรมความงาม 3 – 5 ปี ชี้เรียนแพทย์ระยะยาว มีคุณภาพและปลอดภัยกว่า  
 

ปัจจุบันการเข้าถึงบริการเสริมความงามของผู้บริโภคในประเทศไทยเติบโตอย่างรวดเร็ว อีกทั้งกฎหมายปัจจุบันไม่ได้กำหนดให้แพทย์ที่ทำหัตถการในคลินิกเสริมความงามต้องเป็นแพทย์ที่จบเฉพาะทางในสาขาที่แพทยสภารับรอง ทำให้แพทย์จบใหม่ที่เพิ่งได้รับปริญญาแพทยศาสตร์บัณฑิต ก็สามารถมาให้บริการทำหัตถการในคลินิกเสริมความงามได้ ส่งผลให้เกิดการตั้งคำถามถึงเรื่องมาตรฐานและคุณภาพในการให้บริการ 

            นพ.ธนัญชัย อัศดามงคล แพทย์เฉพาะทางด้านศัลยกรรมตกแต่ง เเละ CEO โรงพยาบาลบางมดเอสเธติค เปิดเผยว่า ปัจจุบันผู้ที่จะเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านความงาม ในส่วนของการผ่าตัดควรจะต้องจบแพทย์ศัลยกรรมตกแต่ง ซึ่งหลักสูตรนี้จะเรียนเฉพาะทาง 5 ปี ได้รับการรับรองโดยแพทยสภา ในปัจจุบันอุตสาหกรรมความงามของไทยก็มีศักยภาพสูงมากที่จะก้าวเป็น Aesthetic Hub ในการที่จะเพิ่มจำนวนแพทย์ความงาม เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจเป็นเรื่องที่ดี เพราะหากทำได้จริงก็จะช่วยให้เศรษฐกิจเมืองไทยพัฒนา แต่โดยส่วนตัวมองว่า การเพิ่มแพทย์ความงามด้วยหลักสูตรระยะสั้น อาจเป็นการพัฒนาที่ไม่ยั่งยืน จะมีจำนวนแพทย์มากขึ้นก็จริง แต่ไม่ได้คุณภาพตามมาตรฐานการรักษาที่ควรจะเป็น

นพ.ธนัญชัย กล่าวด้วยว่า ตัวหมอจบศัลยกรรมตกแต่ง ซึ่งใช้ระยะเวลาในการเรียนทั้งหมด 14 ปี ทำให้รู้ว่าจริง ๆ แล้วเรื่องของศาสตร์ความงาม โดยเฉพาะการทำศัลยกรรมผ่าตัดไม่สามารถทำหลักสูตรระยะสั้น 3 - 6 เดือนจบได้ เพราะว่าความรู้เป็นเรื่องที่มีรายละเอียดมาก โดยแต่เดิมที รพ.บางมด เปิดทำด้านศัลยกรรมมาเกือบ 40 ปีแล้ว ปัจจุบันขยายเป็นโรงพยาบาลเฉพาะทางด้านศัลยกรรมความงามภายใต้ชื่อ Bangmod Aesthetic Hospital จึงก็มีแนวคิดที่จะทำสถาบันหรือหลักสูตรที่จะสร้างผู้เชี่ยวชาญด้านความงาม ภายใต้ชื่อของ Bangmod Aesthetic Hospital ซึ่งจะใช้เวลาเรียนประมาณ 3 - 5 ปี เพื่อให้ได้ศึกษาครอบคลุมครบทุกองค์ความรู้ด้านศัลยกรรมและความงาม เพราะคำว่าผู้เชี่ยวชาญไม่ใช่แค่ผ่าตัดได้ แต่ว่าเมื่อมีปัญหาหรือภาวะแทรกซ้อนเกิดขึ้นควรที่จะต้องแก้ไขได้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะไม่สามารถทำได้ในหลักสูตรการเรียนระยะสั้น

“ผมเรียนหมอ 6 ปี ใช้ทุน 3 ปี และเรียนต่อเฉพาะทางอีก 5 ปี รวมทั้งหมด 14 ปี ถึงจะจบเป็นแพทย์เฉพาะทางได้ แพทยสภาก็รับรอง มีวุฒิบัตรแพทย์ศัลยกรรมตกแต่ง ประเทศไทยมีอยู่เพียง 400 กว่าคนเท่านั้น ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญโดยตรง ซึ่งหมอว่านี่คือหลักสำคัญ ถ้าเราจะพัฒนาให้จำนวนแพทย์ที่มีประสิทธิภาพให้มากขึ้น มันต้องพัฒนาคนที่เป็นแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางอยู่แล้วขึ้นมาก่อน มากกว่าที่จะไปพัฒนาให้แพทย์จบใหม่ด้วยการสอนหลักสูตรสั้น ๆ ซึ่งการที่เราจะทำสถาบันหรือหลักสูตรได้ ก็ต้องมีการประสานงานกับหน่วยงานภาครัฐ และแพทยสภาให้เป็นไปตามมาตรฐานในระดับประเทศ และหลักสูตรดังกล่าวที่เราจะทำมันจะต้องไม่ใช่คอร์สระยะสั้น มันต้องใช้เวลาเรียน 3 - 5 ปี” นพ.ธนัญชัย กล่าว
นพ.ธนัญชัย กล่าวปิดท้ายว่า การผ่าตัดอาจทำได้ง่าย แต่ความรู้ ความเชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านศัลยกรรมความงามจริง ๆ มันต้องมีองค์ประกอบทางด้านความรู้ และประสบการณ์ที่ยาวนานพอ เพื่อที่เราจะได้สามารถวิเคราะห์ว่าบุคคลใดควรหรือไม่ควรผ่าตัด การทำศัลยกรรมความงามไม่ใช่ทุกคนควรผ่าตัด และไม่จำเป็นต้องทำเยอะ จากประสบการณ์ส่วนตัว ยิ่งทำให้หมอยิ่งเชื่อมั่นว่าถ้าเราจะทำหลักสูตรเราก็อยากจะพัฒนาให้ยั่งยืนจริง ๆ เป็นหลักสูตรระยะยาว เพื่อให้จบมาแล้วได้คุณภาพและปลอดภัยสำหรับคนไข้

 
ผู้สนใจเข้ารับบริการ สอบถามได้ที่ โทร.084-456-7777 , 063-770-0968 , 062-257-5499
LINE ID : @bangmod
                                                                       

ดีเดย์! ไทยเดินเครื่องรับมือกฎเหล็ก EUDRARDA จับมือ 9 หน่วยงาน ผนึกกำลังงานวิจัย ยกระดับมาตรฐานเกษตรไทยสู่ตลาด EU

ดีเดย์! ไทยเดินเครื่องรับมือกฎเหล็ก EUDR
ARDA จับมือ 9 หน่วยงาน ผนึกกำลังงานวิจัย ยกระดับมาตรฐานเกษตรไทยสู่ตลาด EU
           
 วันที่ 20 สิงหาคม 2568 – สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) หรือ ARDA จับมือ 9 หน่วยงาน
ภาครัฐและเอกชน จัดงาน “Kick-off ยกระดับสินค้าและผลิตภัณฑ์เกษตรไทยรองรับระเบียบ EUDR” เพื่อเดินหน้า
ความร่วมมืออย่างเป็นทางการในการเตรียมความพร้อมกระบวนการผลิตสินค้าเกษตรของไทยให้สอดรับ European Union Deforestation-free Regulation (EUDR) ซึ่งจะเริ่มบังคับใช้เต็มรูปแบบในช่วงปลายปีนี้ พร้อมเปิดตัว 9 โครงการวิจัยนำร่อง
ที่ ARDA สนับสนุนทุนวิจัย เพื่อใช้เป็นกลไกสำคัญในการผลักดันให้ภาคเกษตรไทยสามารถปฏิบัติตามมาตรฐานใหม่ของ EU อย่างเป็นรูปธรรม โดยมีนายประยูร อินสกุล ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานในพิธีฯ
จากข้อมูลของ FAO และ UNEP (2020) ระบุว่าพื้นที่ป่าดั้งเดิมของโลกเหลือเพียง 31% ของพื้นที่ทั้งหมด และช่วงปี 2015–2020
โลกสูญเสียป่าไม้ปีละกว่า 10 ล้านเฮกตาร์ รวมแล้วกว่า 80 ล้านเฮกตาร์ตั้งแต่ปี 1990 เพื่อแก้ปัญหานี้สหภาพยุโรป (EU) จึงออกกฎระเบียบ EUDR เมื่อ 29 มิถุนายน 2566 กำหนดว่าสินค้าที่นำเข้า EU ต้องพิสูจน์ได้ว่าไม่เกี่ยวข้องกับการตัดไม้ทำลายป่า
มีระบบตรวจสอบย้อนกลับ (Traceability) ถึงแหล่งผลิตที่ชัดเจน และผลิตอย่างถูกต้องตามกฎหมายของประเทศต้นทาง
          นายประยูร อินสกุล ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า ถึงแม้ประเทศไทยจะถูก EU จัดให้อยู่ในประเทศกลุ่มความเสี่ยงต่ำ แต่การปรับตัวให้สอดคล้องกับกฎระเบียบ EUDR ยังเป็นเรื่องท้าทายและโอกาสสำคัญที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
ให้ความสำคัญ เนื่องจากข้อมูลของสหประชาชาติ (UN Comtrade Database) พบว่าในปี 2567 มีการส่งออกสินค้าเกษตร
7 กลุ่ม ได้แก่ ยางพารา ปาล์มน้ำมัน กาแฟ ถั่วเหลือง โกโก้ โค และไม้ ไปยัง EU มูลค่ารวมกว่า 1.85 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
หรือราว 6.49 หมื่นล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบการ SMEs และเกษตรกรรายย่อย โดยเฉพาะยางพาราที่มีสัดส่วนกว่า 90% ดังนั้นการเตรียมความพร้อมจึงไม่เพียงรักษาตลาดที่อาจกระทบโดยตรงต่อรายได้และศักยภาพในการแข่งขันของไทยในตลาดยุโรป แต่ยังเป็นการอนุรักษ์ป่าไม้และยกระดับมาตรฐานสิ่งแวดล้อมของไทยอีกด้วย
           งานในวันนี้ ถือเป็นอีกก้าวสำคัญของประเทศไทยที่ได้รวมนักวิจัยที่มีความเชี่ยวชาญในด้านต่างๆ มาร่วมดำเนินโครงการวิจัยภายใต้แผนงานมุ่งเป้าฯ EUDR ใน 6 ด้านสำคัญ ได้แก่ 1) ระบบตรวจสอบย้อนกลับ (traceability system) ตลอดห่วงโซ่อุปทาน
2) แพลตฟอร์ม Geolocation สำหรับตรวจสอบพื้นที่ปลูกว่าปลอดจากการบุกรุกป่า 3) ระบบจัดเก็บข้อมูลรองรับการยื่น
Due Diligence Statement (DDS) ผ่านระบบของ EU 4) การศึกษากรอบกฎหมายและข้อเสนอเชิงนโยบาย 5) การวิเคราะห์ตลาดสินค้า EUDR และท่าทีประเทศคู่ค้าในอาเซียนและ EU 6) การสร้างความรู้ความเข้าใจกับเกษตรกรเกี่ยวกับ EUDR 
 ด้านดร.วิชาญ อิงศรีสว่าง ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร กล่าวว่า ARDA ได้เสนอหัวข้อประเด็นมุ่งเป้าเรื่อง EUDR เพื่อเตรียมการให้เกษตรกรและผู้ประกอบการมีความพร้อมเมื่อสหภายุโรปบังคับใช้กฎระเบียบนี้ โดยกองทุน ววน. เห็นความสำคัญและความจำเป็นจึงเห็นชอบให้ ARDA มาขับเคลื่อนเรื่องดังกล่าว โดย ARDA ได้เชื่อมโยงนโยบายและผลลัพธ์จากงานวิจัยสู่การปฏิบัติจริง เช่น ระบบ GIS และ Remote Sensing สำหรับตรวจสอบและยืนยันพิกัดแปลงเพาะปลูก ระบบ Traceability แบบ End-to-End สำหรับติดตามสินค้าเป็นล็อตตั้งแต่ฟาร์มถึงปลายทาง และความพร้อมในการยื่น Due Diligence Statement (DDS) แบบเรียลไทม์ รวมถึงแอปพลิเคชันสำหรับเกษตรกรรายย่อย เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถส่งออกสินค้าผ่านกฎระเบียบ EUDR ภายใต้กรอบเวลาที่กำหนดได้อย่างมั่นใจ
 
               
สำหรับประเทศไทย ARDA ได้สนับสนุนทุนวิจัยให้มกอช. เพื่อจัดทำกรอบนโยบายระดับชาติ หรือ National policy framework เพื่อให้คณะกรรมการ EUDR ระดับชาติเห็นชอบ และใช้เป็นแนวทางปฏิบัติให้สอดคล้องกับกฎระเบียบ EUDR ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญประเทศ และเพื่อเดินหน้ารับมือกับความท้าทายต่อการปรับตัวของภาคการเกษตรไทย งานในวันนี้ ARDA ได้เปิดตัว
9 โครงการวิจัยที่ให้การสนับสนุนทุนวิจัยล่าสุดเพื่อร่วมขับเคลื่อนการดำเนินงานให้เป็นรูปธรรมมากขึ้น ได้แก่
1. โครงการ การออกแบบระบบเตรียมความพร้อมสินค้าเกษตรตลอดห่วงโซ่อุปทาน – มหาวิทยาลัยรังสิต
2. โครงการ พัฒนาระบบนำเข้า–ส่งออกตามมาตรฐาน EUDR – สมาคมอุตสาหกรรมดิจิทัลไทย
3. โครงการ จัดทำแพลตฟอร์ม Geolocation ตรวจสอบพื้นที่ปลูกที่ปราศจากการตัดไม้ทำลายป่า– บริษัท จีไอเอส จำกัด
                               4. โครงการ วิเคราะห์ตลาดสินค้าส่งออกสำคัญของไทยไปยัง EU – บริษัท แอคเซส ยุโรป จำกัด
 5. โครงการ ศึกษาอุปสรรคทางกฎหมายในการส่งออกสินค้าและผลิตภัณฑ์ภายใต้กฎระเบียบ EUDR – มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
6. โครงการ เสริมศักยภาพผู้เกี่ยวข้องในห่วงโซ่อุปทานปาล์มน้ำมัน – กรมวิชาการเกษตร
7. โครงการ การศึกษาระบบยืนยันความถูกต้องทางกฎหมายของไม้ไทยสำหรับส่งออก – จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
8. โครงการ ทวนสอบข้อมูลเกษตรกรและพิกัดแปลงเกษตรกรรมในเขตปฏิรูปที่ดิน – สำนักงานปฏิรูปที่ดิน            
                     9. โครงการ การวิจัยและปรับปรุงข้อมูลผังแปลงเกษตรกรรมดิจิทัลให้ถูกต้องตามกฎระเบียบ EUDR –
กรมส่งเสริมการเกษตร
              นอกจากนี้ ภายในงานยังมีการสาธิตระบบ Traceability Platform และ Geolocation Platform ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญในการรับมือกฎระเบียบดังกล่าว รวมถึงการเสวนาในหัวข้อ “สินค้าและผลิตภัณฑ์ของไทยสามารถส่งออกไปสหภาพยุโรปภายใต้ระเบียบ EUDR” โดยมีผู้เชี่ยวชาญด้านการค้าและการเกษตรร่วมแลกเปลี่ยนความเห็นและให้แนวทางปฏิบัติที่สำคัญ  

    “EUDR ไม่ใช่กำแพงการค้า แต่คือโอกาสครั้งใหญ่ในการยกระดับเกษตรไทยสู่มาตรฐานสากล การพัฒนางานวิจัยครั้งนี้ไม่ใช่เพียงการปรับตัวตามกฎใหม่ แต่คือการ พลิกโฉมสินค้าเกษตรไทยให้พร้อมแข่งขันบนเวทีโลกอย่างยั่งยืน ARDA
พร้อมเดินหน้าขับเคลื่อนภาคการเกษตรไทย ด้วยหลักวิทยาศาสตร์ งานวิจัย และนวัตกรรม ที่เชื่อมโยงทุกภาคส่วน เพื่อให้ไทยก้าวผ่านกฎระเบียบ EUDR ได้อย่างมั่นใจ”

วันอาทิตย์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2568

มาตะลุยกิน ฟินกันได้ทั้งครอบครัวใน "ครัวคุณต๋อยยกทัพ บุก เซ็นทรัล พระราม 2"

มาตะลุยกิน ฟินกันได้ทั้งครอบครัว
ใน "ครัวคุณต๋อยยกทัพ บุก เซ็นทรัล พระราม 2"

“ครัวคุณต๋อยยกทัพ” งานอาหารสุดยิ่งใหญ่ขวัญใจมหาชน ดีลร้านเด็ดเน้นอร่อยทั่วทุกภาค สายกินห้ามพลาดตลอด 7 วันเต็ม!!! ใน "ครัวคุณต๋อยยกทัพ บุก เซ็นทรัล พระราม 2" ระหว่างวันที่ 21 – 27 สิงหาคม 2568 ณ ลานโปรโมชัน ชั้น 1 เซ็นทรัลพระราม 2
 
โดย “คุณตูน-พัทธยศ ลิมปพัทธ์” ในฐานะผู้จัดงาน ได้ขนเอาความพิเศษที่คัดสรรมาเพื่อท่าน พบกับ 70 ร้านตัวจริงมืออาชีพ คัดสรรวัตถุดิบด้วยความตั้งใจ ปรุงสดใหม่ทุกวัน อาทิเช่น หมูสะเต๊ะมังกรทอง / ล้านนา ไส้อั่วเบบี๋สมุนไพร / ปุ๊เรือสำเภา / หมูโชกุน / หมูยอวชาลิสา / ชิฟฟ่อนไส้แตกบ้านคุณแม่ / จอมใจเปาะเปี๊ยะสด / ข้าวต้มแปลงนาม / ถั่วบางนราฯ / ทิพร ตะโก๊ ตะโก้

จัดเต็มเมนูอร่อยทั่วไทย หลากหลายสไตล์ทั้งคาว หวาน ของว่าง และเมนูฮอตฮิตติดกระแสมารวมไว้ที่งานนี้ การันตีความอร่อยโดยทีมงานครัวคุณต๋อย ห้ามพลาด!!! "ครัวคุณต๋อย Selected" 4 ร้านเด็ดต้องลอง อร่อยถูกใจ ทุกเมนูคือใช่สำหรับคุณ

โดยในวันเปิดงานวันแรกจะได้พบกับ  พิธีกรชื่อดังจากรายการครัวคุณต๋อย 
นำโดย “อาต๋อย-ไตรภพ ลิมปพัทธ์” 
 “คุณโก๊ะตี๋ ชัยกฤต” “คุณนก-สุภัทรพร นามปิติ” ผู้ที่จะพาทุกท่านดื่มด่ำกับเรื่องราวความอร่อยของทุกร้านในงาน
และร่วมถ่ายรูปกับผู้บริหารของเซ็นทรัลพระราม 2 พร้อมด้วย “คุณก่อเกียรติ ลิมปพัทธ์” ผู้อำนวยการฝ่ายผลิตของเรา

และพบกับ!!! กิจกรรมร่วมสนุกภายในงานอีกมากมาย ที่ ศูนย์การค้าเซ็นทรัล พระราม2 บริเวณ โปรโมชัน ชั้น 1 ระหว่างวันที่ 21 – 27 สิงหาคม 2568  
เวลาเปิด-ปิด จันทร์ - พฤหัสบดี 11.00 – 21.00น. / ศุกร์ 11.00 – 22.00 น. / เสาร์ - วันหยุดนักขัตฤกษ์ 10.00 – 22.00 น. / อาทิตย์ 10.00 – 21.30 น. 
 
 ร่วมสร้างปรากฏการณ์ความสำเร็จโดย
• ศูนย์การค้าเซ็นทรัล พระราม 2
• เวิลด์แก๊ส เคียงข้างคุณอย่างปลอดภัย จัดจำหน่ายโดย บริษัท ดับบลิวพี เอ็นเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) “อย่าลืม แก๊สหมด กดสั่งเวิลด์แก๊ส นะครับ เวิลด์แก๊สเคียงข้าง สร้างรอยยิ้ม”
• ขอขอบคุณ Magiclean Kao Professional Solution สิทธิประโยชน์เพื่อผู้ประกอบการ ร้านสะอาดอนามัย ยืนหนึ่งในใจลูกค้า
• รสดีเมนู ครบรส ครบเครื่องในซองเดียว
• สถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3
ติดตามรายละเอียดได้ที่ FACEBOOK ครัวคุณต๋อย เว็บไซต์ www.kruakhuntoi.com แอปพลิเคชันครัวคุณต๋อย 

#ครัวคุณต๋อยยกทัพ #ครัวคุณต๋อย #ประสบการณ์ที่ต้องลิ้มลอง #เซ็นทรัลพระราม2 #CentralRama2

ทำบุญง่ายๆ…อยู่ที่ปลายนิ้วเป็นสะพานบุญ ส่งต่อ…กดแชร์สาธุ 🙏 สาธุ 🙏 สาธุ 🙏

ทำบุญง่ายๆ…อยู่ที่ปลายนิ้ว
เป็นสะพานบุญ ส่งต่อ…กดแชร์
สาธุ 🙏 สาธุ 🙏 สาธุ 🙏 

วันเสาร์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2568

ปลัดกระทรวง อว. มอบเกียรติบัตรแก่ผู้บริหารศูนย์รวมผู้เชี่ยวชาญ (Hub of Talents) และศูนย์กลางความรู้ (Hub of Knowledge) ที่นำกิจกรรมภาคนิทรรศการและภาคการประชุมร่วมงานอว.แฟร์ 2025

ปลัดกระทรวง อว. มอบเกียรติบัตรแก่ผู้บริหารศูนย์รวมผู้เชี่ยวชาญ (Hub of Talents) และศูนย์กลางความรู้ (Hub of Knowledge) ที่นำกิจกรรมภาคนิทรรศการและภาคการประชุมร่วมงานอว.แฟร์ 2025

วันที่ 16 สิงหาคม 2568  กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โดย สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) จัดพิธีมอบเกียรติบัตรขอบคุณแก่ผู้บริหารศูนย์รวมผู้เชี่ยวชาญ (Hub of Talents) และศูนย์กลางความรู้ (Hub of Knowledge) ที่เข้าร่วมจัดกิจกรรมภายในงานประชุมและนิทรรศการ อว.แฟร์ ประจำปี 2568 ณ Mini Stage-Zone B ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กรุงเทพมหานคร

ในโอกาสนี้ ศ.ดร.ศุภชัย ปทุมนากุล ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ให้เกียรติเป็นประธาน กล่าวขอบคุณผู้บริหารศูนย์ฯ และ ดร. วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ กล่าวรายงานสรุปถึงการจัดกิจกรรมในภาคนิทรรศการและภาคการประชุม

ศาสตราจารย์ ดร.ศุภชัย ปทุมนากุล ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กล่าวว่า “กระทรวง อว. ขอขอบคุณทุกภาคส่วนที่ได้ร่วมกันนำผลงานวิจัยและนวัตกรรมภายใต้การดำเนินงานของศูนย์รวมผู้เชี่ยวชาญ (Hub of Talents) และศูนย์กลางความรู้ (Hub of Knowledge) มาจัดแสดงในงาน “อว.แฟร์ 2025” ทั้งในรูปแบบนิทรรศการและการประชุมวิชาการ ซึ่งเป็นเวทีสำคัญในการเผยแพร่ผลสำเร็จและสร้างการรับรู้ต่อสาธารณชน การทำงานเชิงเครือข่ายระหว่างนักวิจัยและหน่วยงานถือเป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางด้านวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (ววน.) ทั้งในระดับชาติและนานาชาติ โดยมีศูนย์ฯ ดังกล่าวเป็นกลไกสำคัญในการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและแก้ไขปัญหาเชิงยุทธศาสตร์ของประเทศ เพื่อการพัฒนาอย่างมั่นคงและยั่งยืนบนฐานของวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ซึ่งกระทรวง อว. พร้อมสนับสนุนอย่างเต็มที่และเชื่อมั่นว่าความร่วมมือครั้งนี้จะเติบโตต่อไป เพื่อขับเคลื่อน ววน. ของไทยให้ตอบโจทย์ความท้าทายในศตวรรษที่ 21 "

ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ กล่าวว่า "วช. ได้ดำเนินการสนับสนุนและพัฒนาHub of Talents และ Hub of Knowledge ขึ้น เพื่อสร้างเครือข่ายความร่วมมือด้านการวิจัยและนวัตกรรม ตลอดจนเป็นแหล่งรวบรวมองค์ความรู้เฉพาะด้านที่ตอบโจทย์ความท้าทายของโลกยุคใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน โดยการนำเสนอผลงานวิจัยและนวัตกรรมภายในงานครั้งนี้นับเป็นโอกาสสำคัญที่สะท้อนถึงความก้าวหน้าในการบูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานต่าง ๆ ซึ่ง วช. ได้นำผลงานจาก Hub of Talents และ Hub of Knowledge รวม 51 ศูนย์ แบ่งเป็นภาคนิทรรศการ 33 ศูนย์ ใน 5 ด้าน ได้แก่ Future Technology, Environment, Agriculture, Health และ Society ภายใต้แนวคิด “Hub of Talents & Knowledge for The Future” และภาคการประชุมวิชาการ 53 หัวข้อการประชุม เสวนา และการอบรม แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของนักวิจัยไทยและการบูรณาการทำงานร่วมกันอย่างเข้มแข็งระหว่างภาคส่วนต่าง ๆ จึงนับเป็นเวทีแห่งการเรียนรู้ การสร้างแรงบันดาลใจ และจุดประกายความร่วมมือ ที่จะนำพาประเทศก้าวไปสู่อนาคตบนรากฐานความรู้ที่มั่นคงต่อไป"


พิธีมอบเกียรติบัตรเพื่อแสดงความขอบคุณแก่ผู้บริหารศูนย์รวมผู้เชี่ยวชาญ (Hub of Talents) และศูนย์กลางความรู้ (Hub of Knowledge) ที่ได้ร่วมกันขับเคลื่อนการประชุมและนิทรรศการภายในงาน อว.แฟร์ 2568 และสร้างแรงจูงใจแก่หน่วยงานพันธมิตรที่มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนงานวิจัยและนวัตกรรมของประเทศ ภายใต้ความร่วมมือในงาน “อว.แฟร์ 2025 : SCI POWER FOR FUTURE THAILAND”

คนดูทะลุ 2 แสน! ย้อนรอยบอลเดินสาย 9Up Arena สุดสนุก

คนดูทะลุ 2 แสน! ย้อนรอยบอลเดินสาย 9Up Arena สุดสนุก แฟนคลับ นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด และผู้สนับสนุนหลักในเอเชียร่วมกันสนับสนุนการแข่งขันฟุตบอลเดิ...