วันศุกร์ที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2567

ททท. สำนักงานระยอง เชิญชวนเที่ยวงาน Countdown Ao Ma kham Pom กินทุเรียนก่อนใครไประยอง+promotion ส่วนลด 100 บาท เมื่อซื้อ 500 บาทขึ้นไป

 ททท. สำนักงานระยอง เชิญชวนเที่ยวงาน Countdown Ao Ma kham Pom กินทุเรียนก่อนใครไประยอง+promotion ส่วนลด 100 บาท เมื่อซื้อ 500 บาทขึ้นไป





✨เตรียมตัวให้พร้อมสำหรับค่ำคืนสุดพิเศษ ต้อนรับปี 2025 ไปด้วยกัน ในงาน “Ao Ma kham Pom Countdown 2025” A shade of living  “สีสันแห่งอ่าวมะขามป้อม สีสันแห่งความสนุก” 🏝️💃🏻

มาร่วมส่งความสุขและสร้างความทรงจำไปด้วยกัน

🔹ได้ตั้งแต่วันที่ 28 - 31 ธันวาคม 2567

🔹เคาท์ดาวน์ ดูพลุ ฟังเพลง ริมเล ณ ท่าเรืออ่าวมะขามป้อม อำเภอแกลง จังหวัดระยอง

💫เฉลิมฉลองต้อนรับปีใหม่ไปกับค่ำคืนที่ฟ้าจะสว่างไสว 🎆🎇

ไปด้วยแสงพลุสุดตระการตา ยาวนานกว่า 15 นาที ต้องไม่พลาด! 

พบกับศิลปินมาสร้างความสนุกกันทุกค่ำคืน

28 ธันวาคม 2567 🔸พบกับ Act band

29 ธันวาคม  2567🔸พบกับ Act band

30 ธันวาคม  2567🔸พบกับ Act band / พลพล พลกองเส็ง

31 ธันวาคม  2567🔸พบกับ Motif  / ไท ธนาวุฒิ

📌อีกทั้งยังมีร้านค้าชุมชน อาหารพื้นเมือง อาหารทะเล ของหวาน ของฝาก ให้ได้ชิม ได้ช็อป กันอีกมากมาย พร้อมกับจุดเช็คอินให้ถ่ายรูป พร้อมกิจกรรมอื่นๆ อีกมากมาย ความสนุกที่ไม่ควรพลาด เสน่ห์ไทย ภายใต้แนวคิด 5 Must do in Rayong แล้วพบกันนะ 

งานนี้จัดขึ้นโดย การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ร่วมกับเทศบาลตำบลสุนทรภู่ สมาคมประมงสุนทรภู่ บริษัท สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด (มหาชน) และ โรงแรมเดอะรีสอร์ทวิลล่า

วิลล่า

📆 วันจัดงาน : 28-31 ธ.ค.67

📌 สถานที่จัดงาน : ท่าเรืออ่าวมะขามป้อม อ.แกลง จ.ระยอง

🌎 แผนที่ : https://maps.app.goo.gl/XtWWJboT3DdVY5nE8


“ศ.กิตติคุณ ดร.วิษณุ เครืองาม”เผย ศธ.นำดิจิทัลจัดการเรียนการสอนได้ แต่อย่าทิ้งหัวใจของ Active Learning GPAS 5 Steps ที่เน้นให้เด็กคิดเอง ทำเอง คิดเป็น ทำเป็น

 “ศ.กิตติคุณ ดร.วิษณุ เครืองาม”เผย ศธ.นำดิจิทัลจัดการเรียนการสอนได้ แต่อย่าทิ้งหัวใจของ Active Learning  GPAS 5 Steps ที่เน้นให้เด็กคิดเอง ทำเอง คิดเป็น ทำเป็น

เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2567 ศ.กิตติคุณ ดร.วิษณุ เครืองาม  อดีตรองนายกรัฐมนตรี ที่กำกับดูแลกระทรวงศึกษาธิการ ให้สัมภาษณ์ถึงนโยบายกระทรวงศึกษาธิการ ที่จะนำสมาร์ทโฟนและคอมพิวเตอร์มาใช้จัดการเรียนการสอน เพื่อส่งเสริมการเรียนได้ทุกที่ ทุกเวลา Anywhere Anytime ว่า ตนไม่มีความรู้ในเรื่องการนำระบบดิจิทัลมาใช้ กับการเรียนการสอนแบบ Active Learning จะทำได้หรือไม่ ขนาดไหน ซึ่งก็อาจจะทำได้ก็ได้ เพราะการเรียนการสอนแบบ Active Learning  GPAS 5 Steps จะต้องมีการนำเทคโนโลยีมาใช้ ซึ่งทั้งครูและนักเรียนต้องใช้เทคโนโลยีเป็นเพื่อจะได้ก้าวทันโลก แต่หลักใหญ่คืออย่าทิ้งหัวใจของ Active Learning  GPAS 5 Steps ที่เน้นให้เด็กคิดเอง ทำเอง คิดเป็น ทำเป็น มากกว่าครูสอน ซึ่งเทคโนโลยีต่าง ๆ ก็อาจจะใช้ประโยชน์ได้ แต่ก็เกรงว่าการให้เด็กคิดเอง ทำเอง คิดเป็น ทำเป็น แล้วเอาเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้จะทำให้ทิ้ง Active Learning เพราะเด็กจะไปเพลิดเพลินกับเทคโนโลยี ดังนั้นถ้าสามารถผสมผสานได้ก็ถือว่าดี แต่โดยส่วนตัวก็ยังไม่เชื่อมั่นว่าจะทำได้ เพราะไม่มีความรู้เรื่องนี้

 ศ.กิตติคุณ ดร.วิษณุ กล่าวว่า หัวใจของ Active Learning คือ ครูต้องมีความเข้าใจ ต้องมีการประสานระหว่างภาครัฐ เอกชน และหน่วยงานต่าง ๆ ในการส่งเด็กไปฝึกงาน ทดลองทำงาน และ จะต้องมีการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการเรียนการสอนโดยเป็นเพียงส่วนประกอบส่วนหนึ่ง เพราะเกรงว่าเมื่อนำเทคโนโลยีมาใช้แล้วจะทิ้ง Active Learning หากเป็นจริงก็น่าเสียดาย Active Learning สามารถทำได้โดยไม่ต้องใช้ดิจิทัล แต่ก็ต้องยอมรับว่าโลกทุกวันนี้อยู่ในยุคคอมพิวเตอร์ยุคดิจิทัล รู้ไว้ก็ไม่เสียหายแต่จะเอามาใช้ถึงขนาดแจกแท็บเล็ตหรือซื้อแจกกันทุกโรงเรียน ให้เด็กทุกคนอาจจะสิ้นเปลือง ซึ่งก็ไม่แน่ใจว่าคุ้มหรือไม่ เพราะ Active Learning ไม่ได้เริ่มที่การซื้อเครื่องมือแต่เริ่มที่การเรียนการสอนเพื่อให้เข้าใจ GPAS 5 Steps ซึ่งไม่มีขั้นตอนที่เกี่ยวกับการใช้เทคโนโลยี แต่ก็สามารถนำเทคโนโลยีมาใช้เป็นส่วนประกอบได้ 



“การจัดการเรียนการสอนแบบ Active Learning ถ้าจะให้ประสบความสำเร็จ และยั่งยืน จะต้องไม่ใช่นโยบายกระทรวงศึกษาธิการอย่างเดียวแต่ต้องเป็นนโยบายของรัฐบาล แล้วมีการวางแผนตั้งแต่ระดับรัฐบาล มาถึงกระทรวงศึกษาธิการ และต่อไปถึงโรงเรียน สถานศึกษาต่าง ๆ แต่ผมไม่แน่ใจในนโยบายของรัฐบาลนี้ แต่ในอดีตรัฐบาลมีนโยบายที่ชัดเจนเกี่ยวกับ Active Learning มาโดยตลอดตั้งแต่สมัย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา  ที่มีนายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นแกนหลักเรื่องนี้อยู่ และในสมัย น.ส.ตรีนุช เทียนทอง ก็มีการสานต่อ แต่มาถึงรัฐบาลนี้ไม่ทราบว่าได้มีการเดินหน้าต่อขนาดไหนเพียงใด” ศ.กิตติคุณ ดร.วิษณุ กล่าวและว่า อย่างไรก็ตามความสำคัญหรือวิธีการในการจัดการเรียนการสอนแบบ Active Learning ให้ได้ผล คือ หลักสูตรจะต้องเอื้อต่อการใช้ Active Learning เป็นวิธีการเรียนการสอนได้ ซึ่งที่ผ่านมาใช้หลักสูตรอิงมาตรฐาน แต่ตอนหลังก็มีความพยายามที่จะเปลี่ยนเป็นฐานสมรรถนะ ซึ่งเป็นคนละเรื่องกัน อย่างไรก็ตามเรื่องหลักสูตรมีการทะเลาะกันมาหลายรัฐบาลแล้ว ซึ่งเท่าที่สังเกต คือ ใครมาเป็นเจ้ากระทรวงศึกษาธิการก็จะมีคนสนับสนุนให้เปลี่ยนหลักสูตรอยู่เรื่อย เพราะเปลี่ยนหลักสูตรทีก็เปลี่ยนตำราที พ่อแม่ต้องเสียเงินเสียทองซื้อตำราใหม่ หนังสือพี่น้องใช้ต่อกันไม่ได้ แล้วรัฐก็มาทุ่มเงินซื้อแท็บเล็ตแจก ซึ่งมองว่าไม่ค่อยตรงเป้าหมายของ Active Learning เท่าไหร่ 



ผู้สื่อข่าวถามว่า ตอนนี้มีข่าวว่าจะมีการนำหลักสูตรฐานสมรรถนะมาเปลี่ยนชื่อ เพื่อไม่ให้เป็นคำว่าหลักสูตรฐานสมรรถนะแต่เนื้อในคงเดิม ดร.วิษณุ กล่าวว่า  ถ้าแค่เปลี่ยนชื่อก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร แต่ถ้าเปลี่ยนชื่อแล้วเปลี่ยนเนื้อหาไส้ในด้วย ก็ควรจะกลับไปสู่หลักสูตรอิงมาตรฐานจึงจะถือว่าทำสำเร็จ เท่าที่ได้ยินตอนนี้มีการทดลองใช้หลักสูตรฐานสมรรถนะที่จังหวัดเชียงใหม่ในโรงเรียนหลายแห่ง แต่หลักสูตรก็ยังไม่เสร็จ ตำราก็ยังไม่เสร็จ ซึ่งคิดว่าคงต้องใช้เวลาอีกสักระยะหนึ่ง อย่างไรก็ตามเชื่อว่ารัฐบาลมีคนที่แนะนำได้ดีอยู่แล้ว แต่ก็อยากให้นักวิชาการด้านการศึกษา ซึ่งรวมถึงทั้งคณะครุศาสตร์ ศึกษาศาสตร์ต่าง ๆ ให้คำแนะนำกระทรวงศึกษาธิการในเรื่อง Active Learning ด้วย และที่สำคัญที่สุดคือต้องอย่าดื้อถ้าได้รับคำแนะนำมาแล้ว ต้องเอาไปพิจารณาประกอบด้วย แต่ก็ต้องยอมรับว่า มากหมอก็มากความที่ปรึกษามีเยอะก็เลยออกมาคนละอย่าง ที่ยุ่ง ๆ อยู่ตอนนี้ก็ที่ปรึกษาทั้งนั้น


“ถ้า Active Learning เป็นนโยบายที่ชัดเจนของรัฐบาลว่าจะเดินหน้าแน่ ก็เชื่อว่าจะต้องเดินหน้าได้  ไม่ว่าจะเปลี่ยนรัฐมนตรีกี่คนก็จะยืนยงคงกระพัน ที่ผ่านมาเราเคยมีคณะกรรมการปฏิรูปการศึกษา มี พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ และมีงานวิจัยที่วิเคราะห์กันมาแล้ว เราก็น่าจะมีคณะกรรมการมาดูเรื่อง  Active Learning หากได้นำมากลั่นกรองก็น่าจะทำประโยชน์ได้ แต่การที่กระทรวงศึกษาธิการเปลี่ยนรัฐมนตรีบ่อยก็เลยทำให้มีความไม่แน่นอน และยังมีการเอา Active Learning ไปผูกไว้กับคน พอคนเปลี่ยนนโยบายก็เปลี่ยน ซึ่งจริง ๆ แล้วไม่ควรเป็นอย่างนั้น ควรจะเอามาผูกไว้กับกระทรวง ผูกไว้กับหลักสูตรและครูอาจารย์มากกว่า” ศ.กิตติคุณ ดร.วิษณุ กล่าว

วันพฤหัสบดีที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2567

ดร.วิภารัตน์ ผอ.วช. กระชับความร่วมมือไทย-จีน ระหว่าง วช. กับ CASS ส่งเสริมการดำเนินกิจกรรมภายใต้ศูนย์วิจัยจีน และร่วมกล่าวปาฐกถาพิเศษด้านการยกระดับความร่วมมือในภูมิภาคจีน-อาเซียน สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กระทรวง การอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ได้มีความร่วมมือทางวิชาการด้านสังคมศาสตร์ระหว่างไทย-จีน กับสถาบันสังคมศาสตร์จีน (Chinese Academy of Social Sciences, CASS) ตั้งแต่เดือนกันยายน 2543 เพื่อผลักดันความร่วมมือเชิงรุกด้านสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ โดยมีแนวทางความร่วมมือ ประกอบด้วย การแลกเปลี่ยนนักวิจัย การทำวิจัยร่วม การแลกเปลี่ยนงานวิชาการ และมีกำหนดจัดการสัมมนาวิชาการร่วมกันทุกปี เพื่อเป็นเวทีแลกเปลี่ยนความรู้และเปิดโอกาสในการแลกเปลี่ยนทัศนะ ประสบการณ์ ข้อคิดเห็นเกี่ยวกับไทย–จีน และสานต่อองค์ความรู้ไปพัฒนาเป็นยุทธศาสตร์ความร่วมมือไทย–จีน ต่อมา วช. และ CASS ได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MOU) การจัดตั้งศูนย์วิจัยจีน CASS-NRCT CCS เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2566 ณ กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นหน่วยงานสำคัญในการขับเคลื่อนและสร้างความร่วมมือทางวิชาการ และส่งเสริมงานวิจัยระหว่างไทย-จีน ให้เกิดผลเด่นชัด และเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น ผ่านโครงการและกิจกรรมที่เชื่อมโยงนักวิจัยและนักวิชาการของทั้งสองประเทศเข้าด้วยกัน ซึ่งได้จัดพิธีเปิดศูนย์วิจัยจีนฯ เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2567 ณ วช. ประเทศไทย ด้วยความสัมพันธ์และความร่วมมืออันดีอย่างต่อเนื่องระหว่าง วช. กับ CASS ดร. วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ และคณะผู้แทน วช. ได้รับเชิญ ให้เดินทางเยือนกรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน ระหว่าง วันที่ 19 – 23 ธันวาคม 2567 เพื่อเข้าร่วมหารือกิจกรรมการดำเนินงานของศูนย์วิจัยจีน CASS-NRCT CCS และเข้าร่วม การสัมมนาวิชาการนานาชาติ เรื่อง “Dialogue on Peace and Development in Asia-Pacific (2024)” โดยเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2567 ดร. วิภารัตน์ ดีอ่อง และคณะผู้บริหาร วช. เข้าร่วมพบปะหารือกับ Professor WANG Changlin รองประธานสถาบันสังคมศาสตร์จีน (Chinese Academy of Social Sciences, CASS) เพื่อหารือเชิงนโยบายความร่วมมือไทย-จีน และแลกเปลี่ยนมุมมองการสร้างศักยภาพการวิจัยของนักวิจัยทั้งสองประเทศในมิติ เศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม เพื่อเชื่อมโยงความสัมพันธ์ที่มีมา อย่างยาวนาน สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืนร่วมกัน ณ สถาบันสังคมศาสตร์จีน (Chinese Academy of Social Sciences, CASS) กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน ต่อมา ดร. วิภารัตน์ ดีอ่อง และคณะผู้บริหาร วช. ร่วมหารือกับสถาบันวิจัยกลยุทธ์ระหว่างประเทศแห่งชาติ (National Institute of International Strategy, NIIS) ภายใต้สถาบันสังคมศาสตร์จีน Chinese Academy of Social Sciences, CASS นำโดย Professor LI Xiangyang ผู้อำนวยการสถาบัน NIIS และบุคลากรของ NIIS ดร. วิภารัตน์ ดีอ่อง และ Professor LI Xiangyang ได้ร่วมกันกล่าวถึง ประเด็นเนื่องในโอกาสฉลองความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-จีน ครบรอบ 50 ปี ความร่วมมือของ วช. และ CASS จะมีการสานต่องานอย่างเข้มแข็ง โดยความร่วมมือในการร่วมจัดตั้ง “ศูนย์วิจัยจีน CASS-NRCT CCS” ประจำประเทศไทย เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนให้เกิดกิจกรรมทางวิชาการอย่างต่อเนื่อง โดยมีแผนการทำงานเชิงยุทธศาสตร์ระหว่าง วช. กับ CASS ซึ่งให้ความสำคัญกับการแลกเปลี่ยน นักวิจัยรุ่นเยาว์ระหว่างไทย-จีน มีการเตรียมแผนงานโครงการวิจัยด้านสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ในประเด็นเร่งด่วน รวมถึงการสร้างความแข็งแกร่งของบันทึกข้อตกลง (MOU) ผ่านกลไกการทำงานในประเด็นอาเซียน-จีน และการพัฒนาโครงการนำร่องร่วมกัน พร้อมกันนี้ Professor LI Xiangyang ผู้อำนวยการ NIIS, CASS ได้เรียนเชิญ ดร. วิภารัตน์ ดีอ่อง ร่วมกล่าวปาฐกถาพิเศษในการสัมมนาวิชาการนานาชาติ “Dialogue on Peace and Development in Asia-Pacific (2024)” ในหัวข้อ “การเสริมสร้างวัฒนธรรมและความสัมพันธ์ทางสังคมระหว่างจีน-อาเซียน” (Strengthen the Culture and Social Relationship between China-ASEAN) เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2567 ณ Beijing International Hotel กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน ดร. วิภารัตน์ ดีอ่อง กล่าวว่า การขับเคลื่อนการพัฒนาและความร่วมมือในภูมิภาคจีน-อาเซียน ต้องอาศัยศิลปะ และวัฒนธรรมเป็นสะพานข้ามพรมแดน เพื่อให้ประชาชนตระหนักถึงความหลากหลายทางภาษาและวัฒนธรรม สร้างความไว้วางใจ ความเคารพซึ่งกันและกัน และบทบาทของประเทศไทยโดยกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาและการเสริมสร้างทักษะของบุคลากรในอาเซียน ภายใต้โปรแกรม ASEAN Talent Mobility (ATM) โดยมีวิสัยทัศน์และมุมมองในการพัฒนาทักษะขั้นสูง ของบุคลากรในอาเซียน ผ่านประสบการณ์การทำงานในภาคธุรกิจ การถ่ายทอดเทคโนโลยีและการฝึกอบรม โดยมุ่งเน้นที่เทคโนโลยีความก้าวหน้าและนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ความต้องการของ ภาคอุตสาหกรรม การเติบโตทางเศรษฐกิจและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชากรในอาเซียน ในโอกาสครบรอบ 50 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างประเทศไทยกับสาธารณรัฐประชาชนจีน สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม พร้อมขับเคลื่อนการส่งเสริมและยกระดับความร่วมมือในระบบวิจัยโดยมุ่งสร้างความเข้มแข็งในงานวิจัย นวัตกรรม และการพัฒนาที่ยั่งยืน เพื่อร่วมกันสร้างประชาคมที่มีอนาคตร่วมกันระหว่างไทย-จีน ต่อไป

 ดร.วิภารัตน์ ผอ.วช. กระชับความร่วมมือไทย-จีน ระหว่าง วช. กับ CASS  ส่งเสริมการดำเนินกิจกรรมภายใต้ศูนย์วิจัยจีน และร่วมกล่าวปาฐกถาพิเศษด้านการยกระดับความร่วมมือในภูมิภาคจีน-อาเซียน



สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กระทรวง การอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ได้มีความร่วมมือทางวิชาการด้านสังคมศาสตร์ระหว่างไทย-จีน กับสถาบันสังคมศาสตร์จีน (Chinese Academy of Social Sciences, CASS) ตั้งแต่เดือนกันยายน 2543 เพื่อผลักดันความร่วมมือเชิงรุกด้านสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ โดยมีแนวทางความร่วมมือ ประกอบด้วย การแลกเปลี่ยนนักวิจัย การทำวิจัยร่วม การแลกเปลี่ยนงานวิชาการ และมีกำหนดจัดการสัมมนาวิชาการร่วมกันทุกปี เพื่อเป็นเวทีแลกเปลี่ยนความรู้และเปิดโอกาสในการแลกเปลี่ยนทัศนะ ประสบการณ์ ข้อคิดเห็นเกี่ยวกับไทย–จีน และสานต่อองค์ความรู้ไปพัฒนาเป็นยุทธศาสตร์ความร่วมมือไทย–จีน ต่อมา วช. และ CASS ได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MOU) การจัดตั้งศูนย์วิจัยจีน CASS-NRCT CCS เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2566 ณ กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นหน่วยงานสำคัญในการขับเคลื่อนและสร้างความร่วมมือทางวิชาการ และส่งเสริมงานวิจัยระหว่างไทย-จีน ให้เกิดผลเด่นชัด และเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น ผ่านโครงการและกิจกรรมที่เชื่อมโยงนักวิจัยและนักวิชาการของทั้งสองประเทศเข้าด้วยกัน ซึ่งได้จัดพิธีเปิดศูนย์วิจัยจีนฯ เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2567 ณ วช. ประเทศไทย


ด้วยความสัมพันธ์และความร่วมมืออันดีอย่างต่อเนื่องระหว่าง วช. กับ CASS ดร. วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ และคณะผู้แทน วช. ได้รับเชิญ ให้เดินทางเยือนกรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน ระหว่าง วันที่ 19 – 23 ธันวาคม 2567 เพื่อเข้าร่วมหารือกิจกรรมการดำเนินงานของศูนย์วิจัยจีน CASS-NRCT CCS และเข้าร่วม การสัมมนาวิชาการนานาชาติ เรื่อง “Dialogue on Peace and Development in Asia-Pacific (2024)”


โดยเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2567 ดร. วิภารัตน์ ดีอ่อง และคณะผู้บริหาร วช. เข้าร่วมพบปะหารือกับ Professor WANG Changlin รองประธานสถาบันสังคมศาสตร์จีน (Chinese Academy of Social Sciences, CASS) เพื่อหารือเชิงนโยบายความร่วมมือไทย-จีน และแลกเปลี่ยนมุมมองการสร้างศักยภาพการวิจัยของนักวิจัยทั้งสองประเทศในมิติ เศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม เพื่อเชื่อมโยงความสัมพันธ์ที่มีมา อย่างยาวนาน สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืนร่วมกัน ณ สถาบันสังคมศาสตร์จีน (Chinese Academy of Social Sciences, CASS) กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน


ต่อมา ดร. วิภารัตน์ ดีอ่อง และคณะผู้บริหาร วช. ร่วมหารือกับสถาบันวิจัยกลยุทธ์ระหว่างประเทศแห่งชาติ (National Institute of International Strategy, NIIS) ภายใต้สถาบันสังคมศาสตร์จีน Chinese Academy of Social Sciences, CASS นำโดย Professor LI Xiangyang ผู้อำนวยการสถาบัน NIIS และบุคลากรของ NIIS


ดร. วิภารัตน์ ดีอ่อง และ Professor LI Xiangyang ได้ร่วมกันกล่าวถึง ประเด็นเนื่องในโอกาสฉลองความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-จีน ครบรอบ 50 ปี ความร่วมมือของ วช. และ CASS จะมีการสานต่องานอย่างเข้มแข็ง โดยความร่วมมือในการร่วมจัดตั้ง “ศูนย์วิจัยจีน CASS-NRCT CCS” ประจำประเทศไทย เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนให้เกิดกิจกรรมทางวิชาการอย่างต่อเนื่อง โดยมีแผนการทำงานเชิงยุทธศาสตร์ระหว่าง วช. กับ CASS ซึ่งให้ความสำคัญกับการแลกเปลี่ยน นักวิจัยรุ่นเยาว์ระหว่างไทย-จีน มีการเตรียมแผนงานโครงการวิจัยด้านสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ในประเด็นเร่งด่วน รวมถึงการสร้างความแข็งแกร่งของบันทึกข้อตกลง (MOU) ผ่านกลไกการทำงานในประเด็นอาเซียน-จีน และการพัฒนาโครงการนำร่องร่วมกัน


พร้อมกันนี้ Professor LI Xiangyang ผู้อำนวยการ NIIS, CASS ได้เรียนเชิญ ดร. วิภารัตน์ ดีอ่อง ร่วมกล่าวปาฐกถาพิเศษในการสัมมนาวิชาการนานาชาติ “Dialogue on Peace and Development in Asia-Pacific (2024)” ในหัวข้อ “การเสริมสร้างวัฒนธรรมและความสัมพันธ์ทางสังคมระหว่างจีน-อาเซียน” (Strengthen the Culture and Social Relationship between China-ASEAN) เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2567 ณ Beijing International Hotel กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน


ดร. วิภารัตน์ ดีอ่อง กล่าวว่า การขับเคลื่อนการพัฒนาและความร่วมมือในภูมิภาคจีน-อาเซียน ต้องอาศัยศิลปะ และวัฒนธรรมเป็นสะพานข้ามพรมแดน เพื่อให้ประชาชนตระหนักถึงความหลากหลายทางภาษาและวัฒนธรรม สร้างความไว้วางใจ ความเคารพซึ่งกันและกัน และบทบาทของประเทศไทยโดยกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาและการเสริมสร้างทักษะของบุคลากรในอาเซียน ภายใต้โปรแกรม ASEAN Talent Mobility (ATM) โดยมีวิสัยทัศน์และมุมมองในการพัฒนาทักษะขั้นสูง ของบุคลากรในอาเซียน ผ่านประสบการณ์การทำงานในภาคธุรกิจ การถ่ายทอดเทคโนโลยีและการฝึกอบรม โดยมุ่งเน้นที่เทคโนโลยีความก้าวหน้าและนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ความต้องการของ ภาคอุตสาหกรรม การเติบโตทางเศรษฐกิจและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชากรในอาเซียน


ในโอกาสครบรอบ 50 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างประเทศไทยกับสาธารณรัฐประชาชนจีน สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม พร้อมขับเคลื่อนการส่งเสริมและยกระดับความร่วมมือในระบบวิจัยโดยมุ่งสร้างความเข้มแข็งในงานวิจัย นวัตกรรม และการพัฒนาที่ยั่งยืน เพื่อร่วมกันสร้างประชาคมที่มีอนาคตร่วมกันระหว่างไทย-จีน ต่อไป

วันอังคารที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2567

สภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทยฯ จัดพิธีมอบทุนพระราชทาน ช่วยเหลือการศึกษาเด็กยากจน ประจำปี 2567

 

สภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทยฯ  จัดพิธีมอบทุนพระราชทาน  ช่วยเหลือการศึกษาเด็กยากจน ประจำปี  2567

       



สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ  พระราชทานทรัพย์จำนวนหนึ่ง  ให้แก่สภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย  ในพระบรมราชูปถัมภ์  เพื่อเป็นทุนริเริ่มจัดตั้ง  กองทุนพระราชทานช่วยเหลือการศึกษาเด็กยากจน  โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือส่งเสริมและสนับสนุนเด็กและเยาวชนที่ยากจน  ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาคให้มีโอกาสได้รับการศึกษาตามสมควรแก่อัตภาพและความสามารถของตน  และในปี 
2567 นี้  สภาสังคมสงเคราะห์ฯ  ได้จัดสรรทุนการศึกษาให้แก่เด็กและเยาวชนทั่วประเทศ  จำนวน 595 ทุน  เป็นเงินจำนวน 2,315,500.- บาท (สองล้านสามแสนหนึ่งหมื่นห้าพันห้าร้อยบาทถ้วน) 

         






สภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทยฯ กำหนดจัดพิธีมอบทุนพระราชทานช่วยเหลือการศึกษาเด็กยากจน  ประจำปี 2567 ให้แก่เด็กและเยาวชนเฉพาะที่ศึกษาอยู่ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล  จำนวน 184 ทุน  ในวันอังคารที่ 24 ธันวาคม 2567  เวลา 10.00 น. ณ ห้องประชุม ชั้น ตึกนวมหาราช สภาสังคมสงเคราะห์ฯ ถนนราชวิถี เขตราชเทวี กรุงเทพฯ โดยมี          ร้อยตำรวจโท ดร.มนัส  โนนุช ประธานสภาสังคมสงเคราะห์ฯ  เป็นประธานในพิธี

 เด็กและเยาวชนที่ได้รับทุนการศึกษาแบ่งเป็นระดับการศึกษา  ดังนี้ 

-            ระดับประถมศึกษา                           จำนวน  90  ทุน           ทุนละ  2,000.- บาท                                                  

-            ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น               จำนวน  133  ทุน         ทุนละ  2,500.- บาท                                                  

-            ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย           จำนวน  153  ทุน         ทุนละ  3,000.- บาท                                                                   

-            ระดับอาชีวศึกษา (ปวช.และปวส.)  จำนวน  53  ทุน           ทุนละ  5,000.- บาท                                                                   

-            ระดับอุดมศึกษา                          จำนวน  166  ทุน         ทุนละ  6,500.- บาท              

        






                            

วันอาทิตย์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2567

”พิพัฒน์“ อบรม AI บุคลากรรัฐ เปลี่ยนกระทรวงสู่ยุคAI บริการหางาน พัฒนาฝีมือ แจ้งข้อร้องเรียน รับสิทธิประกันสังคม ให้สะดวก รวดเร็วขึ้น

”พิพัฒน์“  อบรม AI บุคลากรรัฐ เปลี่ยนกระทรวงสู่ยุคAI บริการหางาน พัฒนาฝีมือ แจ้งข้อร้องเรียน รับสิทธิประกันสังคม ให้สะดวก รวดเร็วขึ้น



วันที่ 23 ธันวาคม 2567 นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานในงานการประชาสัมพันธ์ด้านปัญญาประดิษฐ์และการนำไปใช้สำหรับบุคลากรภาครัฐ (Kick off Artificial Intelligence Literacy for Government officer) รวมทั้งกล่าวปาฐกถา หัวข้อ “ปรับเปลี่ยนกระทรวงแรงงานสู่ยุค AI Transformation” เพื่อปูพื้นฐานความรู้เกี่ยวกับ AI สร้างทักษะการใช้งานเครื่องมือ AI และส่งเสริมการประยุกต์ใช้ AI ของบุคลากรกระทรวงแรงงาน โดยมีผู้บริหารกระทรวงแรงงาน หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงแรงงาน นางสาวบุณยวีร์ ไขว้พันธุ์ และ อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน นายเดชา พฤกษ์พัฒนรักษ์ ร่วมพิธีเปิด ณ ห้องประชุม ชั้น 5 อาคารกระทรวงแรงงาน

นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า วันนี้ (23 ธ.ค. 67) กระทรวงแรงงานกำลังเผชิญกับ ความท้าทายและการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ของเทคโนโลยีดิจิทัลที่ปัจจุบันเข้ามามีบทบาทในการปฏิบัติงานของบุคลากรเป็นอย่างมาก ทำให้ต้องมีการปรับตัวและพัฒนาทักษะบุคลากรให้มีความรู้ ความสามารถด้านเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ตามนโยบายของกระทรวงแรงงาน เพื่อให้ก้าวทันต่อเทคโนโลยี ซึ่งกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ได้จัดโครงการนี้ขึ้นเพื่อสร้างความตระหนักรู้ด้านสถานการณ์ การเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ยุคเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในการทำงานของภาครัฐ และพัฒนาทักษะบุคลากรให้สามารถนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ไปใช้ในการทำงานเพื่อเตรียมก้าวสู่องค์กรดิจิทัล เพื่ออำนวยความสะดวก ช่วยเหลือพี่น้องแรงงาน และประชาชนได้อย่างรวดเร็วอย่างมีประสิทธิภาพ  เช่น กรมการจัดหางาน Matching เข้าสู่ตำแหน่งงานได้ง่ายขึ้น กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน สามารถทำหลักสูตรได้แม่นยำตามความต้องการของผู้ประกอบการ กรมสวัสดิการฯ ทำให้กระบวนการคุ้มครองแรงงาน จัดการข้อร้องเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประกันสังคม เข้าถึงสิทธิผู้ประกันตนได้อย่างรวดเร็ว สสปท. ช่วยเพิ่มความปลอดภัย สามารถชี้จุดเสี่ยงสารอันตรายได้ตรงจุด แม่นยำ เป็นต้น

ด้านนายเดชา พฤกษ์พัฒนรักษ์ อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับกิจกรรมในวันนี้มีการเสวนาในหัวข้อ  “AI Transformation in Action กับวิสัยทัศน์ผู้นำองค์กรภาครัฐ” โดยวิทยากรพิเศษด้าน Digital Transformation และบรรยายในหัวข้อ “Magic of AI  การนำ AI ไปใช้ในหน่วยงานภาครัฐ"  จากนายซันนี่ จาวลา Youtuber สายไอที ช่อง Sunnylogy  นอกจากนี้ ยังมีบูธนิทรรศการดิจิทัลที่น่าสนใจจากพันธมิตรภาคเอกชน ได้แก่ บริษัท บิซิเนส ออนไลน์ จำกัด (มหาชน) บริษัท โปรเอ็น คอร์ป จำกัด (มหาชน) บริษัท บิทคับ แคปปิดอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (Bikub Acaderry)  สถาบันพัฒนากำลังพลดิจิทัล มูลนิธิเพื่อการพัฒนาดิจิทัล สมาคมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ไทย ICDL THAILAND และสมาคมโปรแกรมเมอร์ไทย และหลังจากนี้กรมฯ ยังมีแผนการจัดฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการ เรื่อง การพัฒนาบุคลากรด้านเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อส่งเสริมประสิทธิภาพการทำงานของกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน จำนวน 4 รุ่น รวมทั้งสิ้น 200 คน โดย รุ่นที่ 1 เดือนมกราคม รุ่นที่ 2 เดือนมีนาคม  รุ่นที่ 3 เดือนพฤษภาคม รุ่นที่ 4 เดือนมิถุนายน 2568  ผู้ผ่านการฝึกอบรมจะได้รับความรู้ใหม่ ๆด้าน AI ซึ่งสามารถตอบสนองความต้องการของประชาชนและบริหารจัดการงานในภาครัฐให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น








วันเสาร์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2567

ส่งมอบ “แอปเปิลอาโอโมริ” เป็นของขวัญปีใหม่ต้อนรับ 2025 “แพทตี้ อังศุมาลิน” คอนเฟิร์มอร่อยที่สุดในโลก

 ส่งมอบ “แอปเปิลอาโอโมริ” เป็นของขวัญปีใหม่ต้อนรับ 2025 “แพทตี้ อังศุมาลิน” คอนเฟิร์มอร่อยที่สุดในโลก



“It’s the time of the year : Aomori Apple Season is starting” ฤดูกาลแอปเปิลอาโอโมริจากประเทศญี่ปุ่นของปีนี้ได้เริ่มขึ้นแล้ว โดยสภาความร่วมมือแอปเปิลจังหวัดอาโอโมริ ประเทศญี่ปุ่น ได้มีการจัดงานแถลงข่าวเพื่อแนะนำ “แอปเปิลอาโอโมริ” 8 สายพันธุ์สำคัญ ได้แก่ ฟูจิ (Fuji), ซันฟูจิ (San Fuji), โอริน (Orin), คินเซ (Kinsei), เซไก อิจิ (Sekai Ichi), ชินะโนะโกลด์ (Shinano Gold), มุซึ (Mutsu) และ เมะเก็ตซี (Meigetsu) โดยในงานได้รับเกียรติจากนักแสดงสาว “แพทตี้- อังศุมาลิน สิรภัทรศักดิ์เมธา” มาร่วมงานพร้อมให้ความมั่นใจว่าแอปเปิลอาโอโมริจากประเทศญี่ปุ่นอร่อย หอม หวาน คุณภาพสูงระดับสากล เหมาะสำหรับเป็นของขวัญและของฝากในทุกเทศกาล ณ The Westin Grande Sukhumvit, Bangkok 


บรรยากาศภายในงานตกแต่งเสมือนอยู่ในสวนแอปเปิล พร้อมด้วยการแสดงนิทรรศกาลแอปเปิลอาโอโมริสายพันธุ์ต่าง ๆ และยังได้มีการโชว์การปอกแอปเปิลในรูปแบบสตาร์คัท (STAR CUT) ให้ผู้ที่มาร่วมงานได้สัมผัสถึงรสชาติของแอปเปิลอาโอโมริ ที่พร้อมเสิร์ฟภายในปี 2025 นี้ ทั้งยังได้รับเกียรติจากตัวแทนสภาความร่วมมือแอปเปิลจังหวัดอาโอโมริ ประเทศญี่ปุ่น ได้แก่ คุณทันได คินอิจ ประธานสมาคมผู้ส่งออกแอปเปิ้ลจังหวัดอาโอโมริ และประธานสมาคมผู้ค้าผลไม้จังหวัดอาโอโมริ, คุณคุโด ยูกิฮิสะ รองประธานสมาคมผู้ส่งออกแอปเปิ้ลจังหวัดอาโอโมริ, คุณซาซากิ ทาคาฮิโกะ ผู้จัดการทั่วไป, คุณซาซาโมริ โทชิมิตสึ รองหัวหน้าสำนักงานสหกรณ์การเกษตรแห่งชาติอาโอโมริ และคุณซาซากิ ชิมาสะ มิสริงโงะ ผู้เผยแพร่ประชาสัมพันธ์แอปเปิ้ลจากจังหวัดอาโอโมริทั้งในประเทศญี่ปุ่นและในหลายประเทศในเอเชีย เพื่อขยายการบริโภค เข้าร่วมงานอีกด้วย


มร.มิยาชิตะ โซอิชิโระ ผู้ว่าราชการจังหวัดอาโอโมริ เผยว่า “จังหวัดอาโอโมริ มีความภาคภูมิใจในการเปิดฤดูกาลแอปเปิลอาโอโมริอีกครั้งในประเทศไทย ที่ผ่านแอปเปิลอาโอโมริยังคงได้รับความนิยม และกระแสตอบรับที่ดีมาโดยตลอดทั้งกับคนไทย และทั่วโลกว่าเป็น “แอปเปิลอร่อยที่สุดในโลก” ด้วยประวัติศาตร์ของแอปเปิลอาโอโมริที่มีอยู่คู่กับจังหวัดอาโอโมริมายาวนานกว่า 150 ปี และเรายังเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายแอปเปิลรายใหญ่ที่สุดทางตอนเหนือของประเทศญี่ปุ่น ด้วยเทคนิคและประสบการณ์ต่าง ๆ ที่พิถีพิถันในทุกขั้นตอนแบบลูกต่อลูก และการใช้เทคโนโลยีการเก็บรักษาและการส่งออกที่มีคุณภาพสูง จึงทำให้แอปเปิลอาโอโมริ มี สีสันสวยงาม หวาน กรอบ และอร่อย ให้คนรักแอปเปิ้ลได้ลิ้มลองตลอดทั้งปี และใกล้เทศกาลปีใหม่แล้วหากใครที่กำลังมองหาของขวัญหรือของฝากแอปเปิลอาโอโมริทุกสายพันธุ์ถือเป็นของขวัญล้ำค่าที่จังหวัดอาโอโมริได้เตรียมส่งมอบให้กับทุกคน”


มร.คากาวะ มาซาโตะ ประธานสมาคมความร่วมมือแอปเปิลจังหวัดอาโอโมริ ในฐานะผู้จัดงาน กล่าวต่อว่า “ทุกปีระหว่างเดือนพฤศจิกายนถึงกุมภาพันธ์ แอปเปิ้ลจากจังหวัดอาโอโมริจะมีการนำเข้ามาหลายพันธุ์ ตามช่วงเวลาที่เหมาะสมของแต่ละพันธุ์ สำหรับปี 2564 - 2565 นี้เราได้นำเข้าแอปเปิลหลากหลายสายพันธุ์ ซึ่งแต่ละสายพันธุ์มีคุณสมบัติที่ต่างกันออกไป โดยในงานวันนี้ได้นำ 8 สายพันธุ์สำคัญมาแนะนำ และให้ได้ลองชิม ได้แก่

แอปเปิลฟูจิ (Fuji Apple) เป็นราชาแอปเปิลที่ครองใจคนทั่วโลก สีของผลแอปเปิลเป็นสีแดงสด เนื่องจากมีการปลูกด้วยวิธีคลุมถุง เรียกกันว่า “ยูไทฟูจิ” มีเนื้อสัมผัสแบบเนื้อทราย แต่กรอบ ชุ่มฉ่ำ และมีสมดุลของรสหวานและเปรี้ยวที่ยอดเยี่ยม ให้ความรู้สึกหวานสดชื่นกว่าซันฟูจิ อีกทั้งความสามารถในการเก็บรักษาได้นาน หากคุณกำลังมองหาแอปเปิลที่ทั้งสวยและอร่อย ดูพรีเมียม แอปเปิลฟูจิคือคำตอบที่ดีที่สุด

แอปเปิลซันฟูจิ (Sun Fuji Apple) เป็นแอปเปิลสายพันธุ์เดียวกับฟูจิ โดดเด่นในด้านกระบวนการปลูกในสภาพที่ได้รับแสงแดดอย่างเต็มที่โดยไม่มีการคลุมป้องกันแสงแดด จึงทำให้คงความกรอบไว้ได้มาก และมีรสชาติหวานฉ่ำ นอกจากนี้ยังเป็นสายพันธุ์ที่มีปริมาณการผลิตสูงที่สุดและเป็นตัวแทนของสายพันธุ์ที่วางจำหน่ายได้ยาวนาน แม้จะเป็นสายพันธุ์แบบมาตรฐาน แต่ได้รับการยอมรับในเรื่องรสชาติ คุณภาพ และความกรอบ เป็นอีกสายพันธุ์ที่อยากแนะนำให้ลองชิม

ด้านแอปเปิลสีทองที่มีในจังหวัดอาโอโมริ ที่แทบไม่เคยเห็นจากประเทศอื่น ได้แก่ แอปเปิลโอริน (Orin Apple) เปลือกของโอรินมีสีเหลืองทองสดใส บางครั้งอาจมีริ้วเป็นแนวตั้ง ทำให้ดูเป็นเอกลักษณ์ แอปเปิลโอรินนั้น นอกจากความหวานฉ่ำแล้ว ยังมีกลิ่นหอมที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะ และความสวยงามของสีทอง หากคุณกำลังมองหาแอปเปิลที่แตกต่างจากสายพันธุ์ทั่วไป แอปเปิลโอรินคือตัวเลือกที่ไม่ควรพลาด

ด้าน แอปเปิลพันธุ์ "คินเซ" (Kinsei) ในภาษาญี่ปุ่นแปลว่า "ดาวสีทอง" (Golden Star) ซึ่งสะท้อนถึงสีทองสวยงามของผลแอปเปิลชนิดนี้ ผิวผลจะมีสีเขียวอมเหลือง เนื้อหวานฉ่ำน้ำ รสชาติเข้มข้นและมีความหวาน เลือกสีสวยและผลใหญ่กว่าแอปเปิลทั่วไป เหมาะแก่การซื้อเป็นของขวัญอย่างยิ่ง แอปเปิลชนิดนี้อาจหาซื้อได้ยากนอกประเทศญี่ปุ่น เนื่องจากการส่งออกมีจำกัด จึงไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง


แอปเปิลชินะโนะโกลด์ (Shinano gold Apple) เป็นสายพันธุ์ที่ได้รับความนิยมมากทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งจำหน่ายเป็นระยะเวลาค่อนข้างยาวตั้งแต่ปลายปีจนถึงต้นปีใหม่ จุดเด่นที่สุดของสายพันธุ์นี้คือความหวานที่สูงและเนื้อผลไม้ที่แน่น พร้อมทั้งน้ำผลไม้ที่อุดมไปด้วยความฉ่ำ ขอแนะนำให้ทานสดเพื่อสัมผัสถึงความกรุบกรอบของเนื้อและความหวานอย่างเต็มที่


แอปเปิล เซไก อิจิ (Sekai Ichi) เป็นสายพันธุ์แอปเปิ้ลที่รู้จักกันดีในฐานะแอปเปิลขนาดใหญ่ โดยมีเส้นผ่าศูนย์กลางเฉลี่ยประมาณ 10 เซนติเมตร และบางลูกอาจมีน้ำหนักถึง 1 กิโลกรัม เปลือกมีสีแดงเข้มและลายเส้นสีแดงสดใส ส่วนเนื้อแอปเปิลมีความแน่น รสชาติไม่หวานมากแต่สดชื่นและอร่อย

แอปเปิลมุซึ (Mutsu Apple) ได้รับการพัฒนาโดยสถาบันวิจัยแอปเปิลในจังหวัดอาโอะโมริ และได้รับการจดทะเบียนสายพันธุ์ในปี 1949 (โชวะ 24) ลักษณะการเปลี่ยนสีของผลน่าสนใจ เมื่อไม่ได้ครอบถุงผลจะเป็นสีเหลือง แต่ถ้าครอบถุงจะเปลี่ยนเป็นสีชมพู ผลมีขนาดใหญ่ เนื้อกรอบและมีกลิ่นหอมสดชื่น รสชาติหวานพอดีไม่หวานเกินไปและมีความเปรี้ยวเล็กน้อย ทำให้มีความสมดุล เหมาะสำหรับการนำไปเป็นของขวัญ

แอปเปิลเมะเก็ตซี (Magetsu Apple) เป็นแอปเปิลที่ได้รับแสงแดดจะเป็นสีแดงอ่อน มีรสชาติหวานจัดและมีน้ำผึ้งมากมาย ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่พบได้น้อยในแอปเปิลสีเหลืองอย่างไรก็ตาม ระยะเวลาจำหน่ายค่อนข้างสั้น และจะสิ้นสุดในปีนี้ ทำให้เป็นความอร่อยระดับพรีเมียมที่สามารถเพลิดเพลินได้ในช่วงเวลาจำกัด แต่รสชาติจะลดลงหลังปีใหม่ แนะนำให้ลิ้มลองก่อนสิ้นปี

แอปเปิลทั้ง 8 สายพันธุ์นี้มีลักษณะและเสน่ห์ที่แตกต่างกัน แต่ละสายพันธุ์ได้รับการคัดเลือกและดูแลอย่างพิถีพิถันโดยเกษตรกร โดยมีสารอาหารที่ดีต่อสุขภาพ เช่น โพแทสเซียมและเส้นใยอาหาร นอกจากนี้ยังมีสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น โพลีฟีนอลที่ช่วยในการบำรุง

ผิวพรรณอีกด้วย แอปเปิลจากอาโอโมริเป็นแอปเปิลที่ปลอดสารเคลือบ (No-wax) มั่นใจในความปลอดภัย สารโพลีฟีนอลและสารอื่นๆ จะมีอยู่มากในส่วนของเนื้อแอปเปิ้ลที่ใกล้เปลือก ดังนั้นจึงขอแนะนำให้ทานแอปเปิลจากอาโอโมริแบบทั้งเปลือก สามารถทานแอปเปิลอาโอโมริโดยการหั่นแบบ "Star Cut" ซึ่งเป็นการตัดที่เอาก้านและเมล็ดออก เท่านี้ก็จะสามารถเพลิดเพลินกับแอปเปิลทั้งลูกได้อย่างคุ้มค่าและยังได้สารอาหารครบถ้วน

"สำหรับของขวัญช่วงปีใหม่ ทำไมไม่ลองเลือกแอปเปิลจากอาโอโมริให้เป็นของขวัญสำหรับคนพิเศษดูล่ะครับ? เป็นของขวัญที่แสดงถึงความห่วงใยและความจริงใจที่ดีที่สุด" นายมาซะโตะ คากาวะกล่าวปิดท้าย

แอปเปิลอาโอโมริ เริ่มวางจำหน่ายต้อนรับเทศกาลปีใหม่ 2025 นี้แล้ว! สามารถหาซื้อได้ที่ซูเปอร์มาร์เก็ตชั้นนำทั่ว เช่น Central Food Hall, Tops Supermarket, Gourmet Market, Foodland Supermarket, MAXVALU, LOTUS และอื่น ๆ โดยบางสายพันธุ์จะจำหน่ายไปจนถึงเดือนเมษายน 2025 อย่าพลาดโอกาสในการลิ้มลองความอร่อยนี้


สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่จุดจำหน่ายแอปเปิลอาโอโมริ หรือดูข้อมูลเพิ่มเติมได้จากลิงก์ด้านล่าง

วิดีโอขั้นตอนการปลูกและเก็บเกี่ยว https://www.youtube.com/watch?v=SKpL4dG5rOg


คนดูทะลุ 2 แสน! ย้อนรอยบอลเดินสาย 9Up Arena สุดสนุก

คนดูทะลุ 2 แสน! ย้อนรอยบอลเดินสาย 9Up Arena สุดสนุก แฟนคลับ นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด และผู้สนับสนุนหลักในเอเชียร่วมกันสนับสนุนการแข่งขันฟุตบอลเดิ...