วันพฤหัสบดีที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568

ผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้าสวนนายก “อิ๊งค์” ชี้กวาดล้างบุหรี่ไฟฟ้าไม่ช่วยแก้ปัญหาเสนอรัฐบาลออกกฎหมายควบคุม พร้อมทวงสัญญาช่วงหาเสียงเลือกตั้ง

ผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้าสวนนายก “อิ๊งค์” ชี้กวาดล้างบุหรี่ไฟฟ้าไม่ช่วยแก้ปัญหา
เสนอรัฐบาลออกกฎหมายควบคุม พร้อมทวงสัญญาช่วงหาเสียงเลือกตั้ง
นายสาริษฏ์ สิทธิเสรีชน เจ้าของเพจ “มนุษย์ควัน” และตัวแทนผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้า ให้ความเห็นกรณีนายกรัฐมนตรี นางสาวแพทองธาร ชินวัตร สั่งการให้ นางสาวจิราพร สินธุไพร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เร่งดำเนินการกวาดล้างบุหรี่ไฟฟ้า พร้อมพิจารณาแก้ไขกฎหมายให้มีบทลงโทษที่รุนแรงขึ้น โดยนายสาริษฏ์เห็นว่าการแบนไม่เคยได้ผล และเสนอให้รัฐบาลใช้แนวทางการควบคุมผ่านกฎหมายตามแนวทางของ กมธ.วิสามัญบุหรี่ไฟฟ้าและความเห็นที่นายก อิ๊งค์ เคยพูดไว้ช่วงหาเสียงเลือกตั้ง

“นโยบายแบนบุหรี่ไฟฟ้าเป็นนโยบายที่ผิดพลาดและไม่สามารถแก้ปัญหาการระบาดของบุหรี่ไฟฟ้าในเด็กและเยาวชนได้จริง ประเทศไทยจึงควรมีบทเรียนจากระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมาว่าการแบนบุหรี่ไฟฟ้ายิ่งทำให้เกิดปัญหามากขึ้น ทั้งการเข้าถึงของเยาวชน ตลาดซื้อขายใต้ดิน การทุจริตคอรัปชั่นของเจ้าหน้าที่ที่เรียกรับผลประโยชน์จากธุรกิจสีเทาที่จำหน่ายและลักลอบนำเข้าบุหรี่ไฟฟ้าตามที่เป็นข่าวอยู่ตอนนี้ นี่คือบทพิสูจน์ว่าการแบนไม่ได้ผล และถึงเวลาแล้วที่รัฐบาลควรคิดใหม่ ทำใหม่ หันมาใช้แนวทางการควบคุมที่มีประสิทธิภาพแทน” นายสาริษฏ์กล่าว

นายสาริษฏ์ได้อ้างอิงข้อมูลจากองค์การอาหารและยาสหรัฐฯ (US FDA) ซึ่งเผยแพร่ในเดือนกันยายน 2567 โดยระบุถึงผลการสำรวจพฤติกรรมการใช้ยาสูบในเยาวชนแห่งชาติสหรัฐฯ (NYTS) พบว่า อัตราการใช้บุหรี่ไฟฟ้าในกลุ่มเยาวชนลดลงจาก 2.13 ล้านคน (7.7%) ในปี 2566 เหลือ 1.63 ล้านคน (5.9%) ในปี 2567 โดยเฉพาะในกลุ่มนักเรียนมัธยมปลายที่ลดลงจาก 1.56 ล้านคน เหลือ 1.21 ล้านคน ซึ่งเป็นผลจากการควบคุมและออกกฎหมายที่เหมาะสม

“ตัวอย่างจากสหรัฐอเมริกาชี้ให้เห็นว่า หากรัฐบาลจริงจังกับการปกป้องเยาวชนจากบุหรี่ไฟฟ้า ควรออกกฎหมายควบคุมอย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ใช่ปล่อยให้เป็นตลาดมืดที่ไร้การกำกับดูแล ซึ่งสุดท้ายแล้วอาจสร้างปัญหามากกว่าเดิม เห็นได้จากข่าวสั่งปราบปรามซึ่งมีทุกรัฐบาล แต่ก็ไม่เคยปราบปรามได้จริง” นายสาริษฏ์กล่าว

นายสาริษฏ์ยังกล่าวถึงแนวทางของรัฐบาลเพื่อไทยที่ให้ความสำคัญกับการปรับปรุงกฎหมายให้สอดคล้องกับแนวปฏิบัติสากล เช่น การแก้ไขพ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ที่จะยกเลิกเวลาห้ามขาย การผลักดันให้คาสิโนถูกกฎหมาย หรือการนำเศรษฐกิจใต้ดินขึ้นมาบนดิน เพื่อให้ควบคุมกำกับดูแลได้ง่ายขึ้น

“เมื่อครั้งหาเสียงเลือกตั้งในปี 2562 นายกฯ แพทองธารและอดีตนายกฯ เศรษฐา ก็มีจุดยืนสนับสนุนให้บุหรี่ไฟฟ้าถูกกฎหมาย อยากให้รัฐบาลกลับมาทบทวนจุดยืนของตัวเอง และพิจารณาแนวทางที่สามารถแก้ปัญหาได้จริงมากกว่าสั่งการตามกระแสข่าวในสังคม ซึ่งขณะนี้ กมธ. วิสามัญบุหรี่ไฟฟ้าได้จัดทำรายงานเรียบร้อยแล้วรอเสนอต่อสภาฯ ซึ่งกมธ. เสียงส่วนใหญ่ก็ไม่เห็นด้วยกับการให้แบนบุหรี่ไฟฟ้าต่อไป เพราะเชื่อว่าการห้ามที่ผ่านมา 10 ปี ไม่ได้ผล”

นอกจากนี้ นายสาริษฏ์ได้ระบุถึงว่าประเทศไทยมักจะอ้างการดำเนินการตามแนวทางขององค์การอนามัยโลก (WHO) ที่บอกว่าประเทศรายได้ต่ำและปานกลางอย่างเรา ควรจะแบนบุหรี่ไฟฟ้าต่อไป ซึ่งเป็นการดูถูกคนไทยทั้งประเทศ มาตรการของ WHO ไม่ได้ตั้งอยู่บนหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่เป็นที่ยอมรับ จะเห็นได้ว่ากว่า 80 ประเทศทั่วโลกที่เป็นสมาชิกของ WHO ก็ไม่ได้แบนบุหรี่ไฟฟ้า WHO นั้นมีปัญหาความโปร่งใสในการทำงาน ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของคนบางกลุ่ม ขาดการมีส่วนร่วม สมควรต้องปฎิรูปขนานใหญ่ หากไทยยังเดินตาม WHO ต่อไป ปัญหาบุหรี่ไฟฟ้าก็ยังถูกปล่อยให้ระบาดผ่านตลาดมืดโดยไม่มีมาตรการควบคุมที่เหมาะสม อาจกระทบต่อภาพลักษณ์ของไทยในระดับนานาชาติ

“ที่ผ่านมาไม่มีการรับฟังความคิดเห็นของผู้ที่ได้รับผลกระทบโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้สูบบุหรี่เกือบ 10 ล้านคนอย่างพวกเราที่เพียงแค่ต้องการหาผลิตภัณฑ์มาทดแทนการสูบบุหรี่ ทำให้นโยบายควบคุมยาสูบของประเทศไทยสุดโต่ง อนุรักษ์นิยมและอคติกับผู้สูบบุหรี่ ปิดกั้นทางเลือกของผู้บริโภคมาโดยตลอด หากครั้งนี้ รัฐบาลจะยังคงใช้ยึดแนวทางการแบนเช่นเดิม รัฐบาลอาจต้องเผชิญกับคำถามจากประชาคมโลกว่าเหตุใดประเทศไทยจึงยังไม่สามารถแก้ปัญหาตลาดมืดได้ รวมถึงไม่สามารถลดปัญหาการสูบบุหรี่ของประเทศได้ทั้งๆ ที่ปฏิบัติตามคำแนะนำของ WHO มาโดยตลอด จึงอยากให้นายกรัฐมนตรีและพรรคเพื่อไทยทบทวนนโยบายและหาทางออกที่ยั่งยืนกว่าการสั่งการปราบปรามไปวันๆ ”

วช. หนุน DLET-Hub & PSDP-Hub จับมือ รร.นายร้อยตำรวจ ผนึกกำลังวิจัยสร้างศูนย์กลางความรู้-เครือข่าย พิชิตปัญหายาเสพติดด้วยนวัตกรรม

วช. หนุน DLET-Hub & PSDP-Hub จับมือ รร.นายร้อยตำรวจ ผนึกกำลังวิจัยสร้างศูนย์กลางความรู้-เครือข่าย พิชิตปัญหายาเสพติดด้วยนวัตกรรม

วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2568 สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เข้าร่วมการประชุมทางวิชาการเพื่อเผยแพร่และขยายผลการดำเนินงาน “ศูนย์กลางองค์ความรู้ด้านการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดและศูนย์รวมผู้เชี่ยวชาญด้านการบังคับใช้กฎหมายยาเสพติด” โดยได้รับเกียรติจาก พลตำรวจโท ธนายุตม์ วุฒิจรัสธำรงค์ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นประธานกล่าวเปิดงาน พร้อมปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “ปราบปราม ป้องกัน ฟื้นฟู : ยุทธศาสตร์ตำรวจไทยเพื่อแก้ปัญหายาเสพติดอย่างยั่งยืน เพื่อสังคมปลอดยาเสพติด” ในโอกาสนี้ ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ ได้มอบหมายให้ นางสาวศิรินทร์พร เดียวตระกูล ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบวิจัย สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ เป็นผู้แทนเข้าร่วมการประชุมและปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ : พลังขับเคลื่อนงานวิจัยสู่แนวปฏิบัติในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด” และการประชุมครั้งนี้ได้รับเกียรติจาก ศาสตราจารย์ พลตำรวจตรี ดร.ชัชนันท์ ลีระเติมพงษ์ รองผู้บัญชาการโรงเรียนนายร้อยตำรวจ และผู้บริหารศูนย์ DLET-Hub กล่าวต้อนรับผู้เข้าร่วมประชุม พร้อมด้วย ศาสตราจารย์ พลตำรวจตรีหญิง ดร.พัชรา สินลอยมา หัวหน้าศูนย์ PSDP-Hub ให้การต้อนรับ รวมทั้งได้รับเกียรติจากผู้ทรงคุณวุฒิและผู้บริหารระดับสูงจากหลากหลายหน่วยงานเข้าร่วมเป็นจำนวนมาก ณ โรงเรียนนายร้อยตำรวจ จังหวัดนครปฐม

พลตำรวจโท ธนายุตม์ วุฒิจรัสธำรงค์ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า การประชุมทางวิชาการในครั้งนี้เป็นการเผยแพร่และขยายผลการดำเนินงานของ “ศูนย์กลางองค์ความรู้ด้านการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดและศูนย์รวมผู้เชี่ยวชาญด้านการบังคับใช้กฎหมายยาเสพติด” ปัญหายาเสพติดเป็นปัญหาสำคัญระดับชาติที่ส่งผลกระทบต่อสังคมไทยอย่างรุนแรง ทั้งด้านสุขภาพ เศรษฐกิจ และความมั่นคง การแก้ไขปัญหาดังกล่าวจึงต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนทุกคน โดยศูนย์ทั้ง 2 แห่งนี้ เป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนการดำเนินงาน ในการแก้ไขปัญหายาเสพติดของประเทศ โดยมีบทบาทในการรวบรวมองค์ความรู้ ผู้เชี่ยวชาญ ประสบการณ์ และแนวปฏิบัติที่ดี ในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดเพื่อนำไปเผยแพร่และขยายผลให้แก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและประชาชนทั่วไป การประชุมทางวิชาการในวันนี้ เป็นโอกาสอันดีที่จะได้ร่วมกันแลกเปลี่ยนความรู้ประสบการณ์และแนวคิดในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดเพื่อนำไปต่อยอดและพัฒนาการดำเนินงานให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น 

นางสาวศิรินทร์พร เดียวตระกูล ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบวิจัย สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ กล่าวว่า วช. ภายใต้กระทรวง อว.ได้เดินหน้าแก้ปัญหายาเสพติด 1 ใน 10 นโยบายเร่งด่วนวาระแห่งชาติ การตัดต้นตอการผลิตและจำหน่ายด้วยการร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน การสกัดกั้น ควบคุมการลักลอบนำเข้าและตัดเส้นทางการลำเลียงยาเสพติด การปราบปรามและการยึดทรัพย์ผู้ค้าอย่างเด็ดขาด การค้นหาผู้เสพในชุมชนเพื่อเข้าสู่กระบวนการรักษา การบำบัดรักษาผู้ติดยาเสพติด การฝึกอาชีพ การศึกษา และการฟื้นฟูสภาพทางสังคม การทำระบบติดตามดูแลช่วยเหลือเพื่อไม่ให้กลับไปสู่วงจรยาเสพติดอีก เพื่อคืนคนคุณภาพกลับสู่สังคม โดย วช. เป็นหน่วยงานหลักในการให้ทุนวิจัยและนวัตกรรมของประเทศ ทั้งด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี สังคมศาสตร์ และมนุษยศาสตร์ ตั้งแต่การวิจัยจนถึงการนำไปใช้ประโยชน์ ไปสู่การสนับสนุนการวิจัยและนวัตกรรมที่สามารถนำมาใช้ในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด เพื่อการแก้ปัญหายาเสพติดอย่างครบวงจรด้วยวิจัยและนวัตกรรม วช. ขอร่วมเป็นพลังขับเคลื่อนงานวิจัย เพื่อสร้างสังคมไทยปลอดภัยจากยาเสพติด

ศาสตราจารย์ พลตำรวจตรีหญิง ดร.พัชรา สินลอยมา หัวหน้าศูนย์ PSDP-Hub กล่าวว่าโรงเรียนนายร้อยตำรวจ ได้รับการสนับสนุนทุนการทำกิจกรรม จาก วช. ในปีงบประมาณ 2566 จนถึงปัจจุบัน ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 โดย ศูนย์ PSDP-Hub เป็นศูนย์กลางด้านความรู้ หรือ Hub of Knowledge เกี่ยวกับกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมกระบวนการสาธารณสุขและกระบวนการทางชุมชน ในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดดำเนินการรวบรวมองค์ความรู้ด้านยาเสพติดจากฐานข้อมูลทางวิชาการและประสบการณ์ของผู้เชี่ยวชาญทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งเป็นการดำเนินงานควบคู่ไปกับ DLET-Hub ศูนย์ DLET-Hub ซึ่งเป็นศูนย์รวมผู้เชี่ยวชาญ หรือ Hub of Talents ที่ได้รวบรวมบุคลากรศักยภาพสูง จากหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการบังคับใช้กฎหมายยาเสพติด เพื่อแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ และส่งต่อไปยังผู้ใช้ประโยชน์กลุ่มต่าง ๆ ผ่านกิจกรรมการประชุม อบรม สัมมนา หรือเวทีทางวิชาการ โดยทั้ง 2 ศูนย์ฯ มีการใช้แพลตฟอร์มดิจิทัล เป็นสื่อกลางในการติดต่อสื่อสาร และเป็นพื้นที่คลังปัญญาของบรรดาผู้เชี่ยวชาญ ด้านการแก้ไขปัญหายาเสพติด ทั้งในระดับชาติและนานาชาติ

การประชุมครั้งนี้ ได้รับความสนใจจากผู้เข้าร่วมทั้งในรูปแบบออนไซต์และออนไลน์ โดยมีผู้เข้าร่วมกว่า 200 คน ประกอบด้วยอาจารย์มหาวิทยาลัย เจ้าหน้าที่กระทรวงยุติธรรม กระทรวงสาธารณสุข และนักเรียน นักศึกษา 

เพื่อร่วมพูดคุยและแลกเปลี่ยนถึงแนวทางด้านการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดเครือข่ายการทำงานร่วมกันในอนาคต นับเป็นก้าวสำคัญในการบูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐและภาควิชาการ เพื่อแก้ไขปัญหายาเสพติดอย่างเป็นระบบและยั่งยืน

วันพุธที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568

หมอเอกโต้เดือด! ยันรายงาน กมธ.วิสามัญบุหรี่ไฟฟ้าศึกษาสมบูรณ์รอบด้าน ไม่มีปล่อยเสรีแฉเอกสารผลประโยชน์ทับซ้อนในการควบคุมยาสูบ

หมอเอกโต้เดือด! ยันรายงาน กมธ.วิสามัญบุหรี่ไฟฟ้าศึกษาสมบูรณ์รอบด้าน ไม่มีปล่อยเสรี
แฉเอกสารผลประโยชน์ทับซ้อนในการควบคุมยาสูบ
นายแพทย์เอกภพ หรือ หมอเอก ไลฟ์สดผ่านเฟซบุ๊ก "หมอเอก Ekkapob Pianpises" ยืนยันการทำงานของ กมธ. บุหรี่ไฟฟ้าทุกคณะมีความโปร่งใส เน้นควบคุมด้วยกฎหมายไม่มีการปล่อยเสรี ย้ำการแบนบุหรี่ไฟฟ้าล้มเหลว พร้อมเปิดเอกสารผลประโยชน์และการใช้งบประมาณทับซ้อนในการควบคุมยาสูบ
เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา นายแพทย์เอกภพ เพียรพิเศษ อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เขต 1 จังหวัดเชียงราย และอดีตรองประธานคณะอนุกรรมาธิการพิจารณาศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อระบบสุขภาพและติดตามการบังคับใช้กฎหมายด้านสาธารณสุข หรือ “หมอเอก” กล่าวถึงกรณีที่หนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งเผยแพร่บทความโดยอาจารย์หมอท่านหนึ่งโจมตีคุณภาพรายงานของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษากฎหมายและมาตรการควบคุมกำกับบุหรี่ไฟฟ้าในประเทศไทย (กมธ. วิสามัญบุหรี่ไฟฟ้า) ซึ่งตนเองได้รับการแต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษาคณะ กมธ. วิสามัญนี้ และมีการพาดพิงถึงตนเองจากการทำงานในฐานะรองประธานอนุ กมธ. ในสภาผู้แทนราษฎรชุดที่ผ่านมาโดยกล่าวหาเรื่องความรู้ความสามารถและประสิทธิภาพการทำงาน ซึ่งตนเองยืนยันว่ากระบวนการทำงานของคณะอนุกรรมาธิการทุกคณะได้รับข้อมูลจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน นักวิชาการ และภาคประชาสังคม ทั้งผู้สนับสนุนและผู้คัดค้าน ซึ่งสะท้อนมุมมองที่รอบด้าน
“ผมเข้ามาศึกษาประเด็นบุหรี่ไฟฟ้าเพราะได้รับเรื่องร้องเรียนจากชาวไร่ยาสูบในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการควบคุมยาสูบ ได้เห็นข้อมูลว่าการใช้งบประมาณด้านสาธารณสุขยังมีข้อกังขา ทำให้ไม่สามารถลดอัตราการสูบบุหรี่ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ กฎหมายแบนบุหรี่ไฟฟ้าที่มีอยู่ก็ไม่สามารถควบคุมการระบาดและการเข้าถึงของเยาวชนได้ สอดคล้องกับความเห็นของ กมธ. วิสามัญบุหรี่ไฟฟ้าชุดล่าสุด”
“เมื่อเสียงส่วนใหญ่ของ กมธ. วิสามัญบุหรี่ไฟฟ้าคณะล่าสุดเห็นว่าแนวทางที่เหมาะสมคือการควบคุมบุหรี่ไฟฟ้าให้ถูกกฎหมายเพื่อให้สามารถกำกับดูแลได้ กลุ่มเอ็นจีโอด้านสุขภาพที่ไม่เห็นด้วยกลับโจมตีรายงานผ่านสื่อต่างๆ ทั้งที่การศึกษายึดหลักวิทยาศาสตร์และคำนึงถึงผลกระทบต่อสุขภาพ เศรษฐกิจ และสังคม ในทุกมิติอย่างครบถ้วน โดยเฉพาะยิ่งใกล้วันที่รายงานของ กมธ. วิสามัญบุหรี่ไฟฟ้าเข้าสู่การพิจารณาเห็นชอบโดยสภาผู้แทนราษฎรมากเท่าไหร่ ขบวนการเคลื่อนไหวกดดันการพิจารณาของ สส. และ สภาฯ ก็มี มากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งการโจมตีฝั่งตรงข้าม ให้ข่าวกดดันการตัดสินใจของสภาฯ เพื่อหวังให้คงการแบนบุหรี่ไฟฟ้าต่อไป”
หมอเอกชี้แจงเพิ่มเติมว่า “รายงานของคณะกรรมาธิการฯ ได้เสนอแนวทาง 3 ทางเลือก ได้แก่ 1.คงสถานะบุหรี่ไฟฟ้าเป็นสิ่งผิดกฎหมาย 2.ควบคุมเฉพาะผลิตภัณฑ์ประเภทไม่มีการเผาไหม้ (Heat-not-burn) และ 3.ควบคุมทั้งบุหรี่ไฟฟ้าและผลิตภัณฑ์ประเภทไม่มีการเผาไหม้ให้ถูกกฎหมาย โดยมีมาตรการกำกับดูแลอย่างชัดเจน ซึ่งความเห็นส่วนบุคคลของกมธ. เสียงส่วนใหญ่เห็นด้วยกับแนวทางที่ 3 แต่เป็นที่น่าสังเกตว่ากมธ.จากฝ่ายรณรงค์/เครือข่าย NGO ต้านบุหรี่ได้เวลาและโอกาสในการชี้แจงอย่างเต็มที่ มากกว่าฝ่ายที่สนับสนุนให้ควบคุมให้ถูกกฎหมาย แต่ กมธ.เสียงส่วนใหญ่ก็ยังไม่เห็นด้วยกับการคงการแบนบุหรี่ไฟฟ้าต่อไป”
อีกหนึ่งประเด็นสำคัญที่หมอเอกกล่าวถึงคือการใช้งบประมาณของกลุ่มรณรงค์ควบคุมยาสูบ ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ปีละหลายพันล้านบาท และมีการเชิญหน่วยงานบางหน่วยที่ได้รับทุนจาก สสส. มาให้ข้อมูลกับ กมธ. เมื่อตรวจสอบดูแล้ว หน่วยงานดังกล่าวกลับไม่มีการขึ้นทะเบียนอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ทำให้มีข้อสังเกตว่าหน่วยงานนี้ร่วมทำงานและรับงบประมาณจาก สสส. ได้อย่างไร รวมถึงมีการนำข้อมูลงานวิจัยที่ไม่ได้มาตรฐานมานำเสนอให้กับสังคมรับทราบ แต่ต่อมาได้ยอมรับในที่ประชุมว่าเป็นการสรุปผลงานวิจัยที่คาดเคลื่อน
หมอเอกได้เผยหลักฐานว่า “สสส. ใช้งบประมาณไปแล้วกว่า 7.5 หมื่นล้านบาท หรือประมาณ 4 พันล้านบาทต่อปี แต่อัตราคนสูบบุหรี่กลับไม่ลดลงมากนัก ผู้ที่เป็นโรคอ้วนโรคเบาหวาน และจำนวนผู้ประสบอุบัติเหตุทางจราจรก็ไม่ลดลงเช่นเดียวกัน ชี้ให้เห็นว่าการรณรงค์ที่ผ่านมาไม่ได้ผลเลย เพราะ สสส. ไม่ให้ความสำคัญกับการใช้หลักวิชาการ รวมถึงมีการใช้งบประมาณที่ไม่สมเหตุสมผล เช่น โครงการสายด่วนเลิกบุหรี่ที่ได้รับเงิน 28 ล้านบาท จาก สสส. และยังสามารถเบิกค่าใช้จ่ายกับ สปสช. ได้อีกทาง แต่มีผู้ใช้บริการโทรเข้าเพียง 504 ครั้ง คิดเป็นเงินค่าใช้จ่ายครั้งละหลายหมื่นบาทต่อสาย”
ระหว่างการไลฟ์สด หมอเอกยังได้ตั้งคำถามถึงความโปร่งใสในการพิจารณาให้ทุนสนับสนุนโครงการของ สสส. ซึ่งอาจจะมีผลประโยชน์ทับซ้อน ซึ่งหมอเอกได้มีการนำเอกสารหลายชิ้นมานำเสนอประกอบเป็นหลักฐานด้วย
หมอเอกยังตั้งข้อสังเกตว่าเครือข่ายรณรงค์อาจร่วมมือกับองค์กรระหว่างประเทศแทรกแซงนโยบายของประเทศไทย เช่น องค์การอนามัยโลก (WHO) ซึ่งส่งผลต่อทิศทางนโยบายของไทยเช่นมีการเสนอให้รางวัลจากองค์การอนามัยโลกกับตนเองทั้งๆ ที่ตนเองยังไม่ได้มีผลงานอะไร เพียงแต่ไม่ต้องการให้ตนเองพูดเรื่องบุหรี่ไฟฟ้า
“อยากเรียกร้องให้ประเทศไทยทบทวนนโยบายควบคุมยาสูบโดยใช้หลักฐานทางวิทยาศาสตร์และความโปร่งใส รวมทั้งตรวจสอบเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนในหน่วยงานควบคุมยาสูบ เพราะเชื่อว่าถึงเวลาแล้วที่ประเทศไทยต้องก้าวข้ามอิทธิพลของกลุ่มผลประโยชน์ และหาแนวทางที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพและเศรษฐกิจของประชาชนอย่างแท้จริง”

Amarin Baby&Kids เปิดตัวรายการเด็กหนูทดลอง Little Explorers สนุกสนานและสร้างสรรค์สำหรับเด็กชมพร้อมกัน 2 มีนาคมนี้

Amarin Baby&Kids เปิดตัวรายการเด็ก
หนูทดลอง Little Explorers สนุกสนานและสร้างสรรค์สำหรับเด็ก
ชมพร้อมกัน 2 มีนาคมนี้
 

รายการเด็กใหม่ล่าสุด “หนูทดลอง Little Explorers” ชวนน้อง ๆ หนูๆ และทุกครอบครัว สร้างการเรียนรู้ใหม่ๆ ช่วยจุดประกายจินตนาการ เหมาะสำหรับเด็กวัยเรียนรู้ โดยเนื้อหาจะเป็นการนำเสนอประสบการณ์ใหม่ๆ ที่จะทำให้เด็กมีแรงบันดาลใจ ผลิตอย่างสร้างสรรค์โดย Amarin Baby&Kids บริษัท เอเอ็มอี อิมเมจิเนทีฟ จำกัด ในเครืออมรินทร์กรุ๊ป สื่อกลางที่อยู่ในทุกช่วงเวลาของคุณแม่ ตั้งแต่การเตรียมความพร้อม การตั้งครรภ์ การคลอด ตลอดจนการเลี้ยงดูเด็กตั้งแต่แรกเกิด จนถึงปฐมวัย ติดตามรายการได้ทุกวันอาทิตย์ เวลา 9.00 น. ถึง 9.30 น. ทางอมรินทร์ทีวี เอชดี ช่อง 34 เริ่มออนแอร์เทปแรกวันอาทิตย์ที่ 2 มีนาคม นี้
สำหรับรายการ “หนูทดลอง Little Explorers” สร้างความสนุกโดยพิธีกรวัยจิ๋ว “น้องชาบู” มาพร้อมความน่ารัก สดใส ช่างพูด ที่จะทำให้รายการสนุกยิ่งขึ้น เป็นผู้ดำเนินรายการ “สวัสดีค่ะ น้องชาบูจากรายการ หนูทดลอง Little Explorers” กับประโยคทักทายที่ทำให้ทุกคนเบิกบาน โดยชาบูจะพาเพื่อนๆ น้องๆ และทุกครอบครัว ไปเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ สถานที่ใหม่ๆ ท่องโลกแห่งจินตนาการ ได้ใช้เวลาร่วมกันในวันหยุด ซึ่งรูปแบบรายการ จะมีทั้งหมด 2 ช่วงที่จะมาให้ความบันเทิง และให้วิธีคิดที่ดี
ช่วงที่ 1 “เด็ก ฝึก งาน” สนุกสนานไปกับการได้ทดลองเป็น ทดลองทำ ตามต้นแบบอาชีพในฝัน จากแขกรับเชิญต้นแบบของอาชีพนั้นๆ หลากหลายวงการ อาทิ Content Creator, สถาปนิก, ศิลปิน, นักจัดสวน, ช่างไม้ เป็นต้น
ช่วงที่ 2 “เด็ก พา เที่ยว” พาไปเที่ยวสนุกนอกบ้าน ทั้งชมแหล่งการเรียนรู้ใหม่ๆ สถานที่ใหม่ๆ กิจกรรมสนุกๆ แบบที่ทุกคนในครอบครัวเห็นแล้วอยากจะพุ่งตัวไปตามรอยบ้าง สอดแทรกมุมมองสนุกไปพร้อมเสียงหัวเราะ ที่จะสร้างแรงบันดาลใจให้คุณพ่อคุณแม่อยากออกเดินทางไปด้วยกัน
AMARIN BABY&KIDS ให้ความสำคัญกับเด็กและเยาวชน รวมถึงสถาบันครอบครัวมาโดยตลอด “รายการ หนูทดลอง Little Explorers” ไม่เพียงจะนำเสนอความสนุกที่สร้างแรงบันดาลใจให้แก่เด็กๆ รวมถึงพ่อแม่ที่รับชมแล้ว ยังได้ตั้งคำถามกับเด็กๆ ด้วยว่า “โตขึ้นหนูอยากเป็นอะไร” และชวนกันมาหาคำตอบกันได้ในรายการ เพราะเราเชื่อว่าแรงบันดาลใจเกิดขึ้นได้ทุกวัน เด็กๆ จะได้สะสมแรงบันดาลใจเข้ากระปุกความฝัน จุดประกายไอเดียสร้างสรรค์ของเด็กๆ และทดลองเป็น ทดลองเที่ยวไปด้วยกัน  
ใครที่อยากมาเจอน้องชาบูแบบเห็นหน้าเห็นตา มาพบกับกิจกรรมสนุกจากรายการ หนูทดลอง Little Explorers ได้ในงาน Amarin Baby & Kids fair : Summer Festival ในโซน Little Explorers วันที่ 22 มี.ค.นี้ เวลา 14.00-14.30 น. ที่ไบเทค บางนา น้องชาบูจะชวนเพื่อนๆมาเดินเที่ยวในงานและทำกิจกรรมสนุกๆ ไปด้วยกัน
 
 
ติดตามข่าวสารและความเคลื่อนไหวต่าง ๆ ของรายการ หนูทดลอง ได้ทาง Facebook page : Amarin Baby&Kids, www.amarinbabyandkids.com, TikTok :amarinbabyandkids หรือทาง Youtube : Amarin Baby & Kids
 
#หนูทดลองLittleExplorers #หนูทดลอง #AmarinBabyAndkids #AmarinTV

วันจันทร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568

วช.และ สอศ. นำTVET Smart Idea2Innovation ภาคกลางและภาคตะวันออก เป็นต้นแบบการบ่มเพาะ เพื่อความเข้มแข็งของบุคลากรอาชีวศึกษา

 วช.และ สอศ. นำTVET Smart Idea2Innovation ภาคกลางและภาคตะวันออก เป็นต้นแบบการบ่มเพาะ เพื่อความเข้มแข็งของบุคลากรอาชีวศึกษา


               วันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2568 สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ร่วมกับ สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา จัดกิจกรรม “TVET Smart Idea2Innovation : สิ่งประดิษฐ์และนวัตกรรมและนวัตกรรมอาชีวศึกษาสู่นวัตกรรมพร้อมใช้” ครั้งที่ 1 (ภาคกลางและภาคตะวันออก) โดย ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ ให้เกียรติเป็นประธานในพิธีปิด พร้อมมอบรางวัลกิจกรรมติดดาว และมอบเกียรติบัตรให้แก่ผู้ผ่านการฝึกอบรม ณ โรงแรมมารวยการ์เด้น กรุงเทพมหานคร

               ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ กล่าวถึง กิจกรรมนี้เป็นเวทีนำเสนอผลงาน และเป็นโอกาสแลกเปลี่ยนความรู้ จุดประกายความคิด และสร้างแรงบันดาลใจให้กับนักศึกษาในการพัฒนาตนเอง โดยกิจกรรม “TVET Smart Idea2Innovation : สิ่งประดิษฐ์และนวัตกรรมและนวัตกรรมอาชีวศึกษาสู่นวัตกรรมพร้อมใช้” มีสถาบันการอาชีวศึกษาเข้าร่วมถึง 56 ทีม ซึ่ง วช. และ สอศ. เชื่อมั่นว่าผลงานที่เกิดขึ้นจะนำไปสู่การใช้งานช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ซึ่งได้เห็นพลังแห่งความคิดสร้างสรรค์และความมุ่งมั่นที่ร่วมกันพัฒนาสิ่งประดิษฐ์และนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ความต้องการของสังคม พร้อมขอชื่นชมความตั้งใจของผู้บริหาร คณาจารย์ นักเรียน และนักศึกษาอาชีวศึกษา ที่ร่วมกันผลักดันให้เวทีนี้เป็นพื้นที่แห่งการเรียนรู้และสร้างสรรค์อีกด้วย

นอกจากนี้ มีการมอบรางวัลกิจกรรมติดดาว แก่นักเรียนอาชีวศึกษาใน 5 กลุ่มเรื่อง ดังนี้

– ด้านการเกษตรและอุตสาหกรรมการเกษตร

ระดับ 5 ดาว ได้แก่ผลงานเรื่อง เครื่องผลิตด้ามไม้กวาดทางมะพร้าวเพื่อวิสาหกิจชุมชน จากวิทยาลัยสารพัดช่างนครปฐม จังหวัดนครปฐม
ระดับ 4 ดาว ได้แก่ผลงานเรื่อง ไอศกรีมหวานเย็นส้มฉุน จากวิทยาลัยอาชีวศึกษาเสาวภา กรุงเทพมหานคร
ระดับ 3 ดาว ได้แก่ผลงานเรื่อง อุปกรณ์หยอดเมล็ดเพาะพันธุ์ต้นกล้า จากวิทยาลัยการอาชีพบ้านลาด จังหวัดเพชรบุรี

– ด้านสาธารณสุข สุขภาพ อาหารและผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ

ระดับ 4 ดาว ได้แก่ผลงานเรื่อง รถเข็นเคลื่อนย้ายผู้ป่วยติดเตียง รุ่น 4 จากวิทยาลัยสารพัดช่างบรรหาร-แจ่มใส จังหวัดสุพรรณบุรี
ระดับ 3 ดาว ได้แก่ผลงานเรื่อง เครื่องยืดเส้นเอ็นร้อยหวาย จากวิทยาลัยการอาชีพปราจีนบุรี จังหวัดปราจีนบุรี
ระดับ 3 ดาว ได้แก่ผลงานเรื่อง แผ่นแปะบรรเทาปวดจากสารสกัดไพลและเสลดพังพอน จากวิทยาลัยอาชีวศึกษากาญจนบุรี จังหวัดกาญจนบุรี

– ด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ อุปกรณ์อัจฉริยะ

ระดับ 5 ดาว ได้แก่ผลงานเรื่อง ชุดฝึกเรียนรู้การคัดแยกชิ้นงานบนสายพานสำหรับโรงงานอุตสาหกรรมด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ AIIIoT จากวิทยาลัยการอาชีพบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา
ระดับ 4 ดาว ได้แก่ผลงานเรื่อง เครื่องคัดแยกขยะอัตโนมัติ จากวิทยาลัยเทคนิคปทุมธานี จังหวัดปทุมธานี
ระดับ 4 ดาว ได้แก่ผลงานเรื่อง เครื่องตรวจสอบแนวโน้มคุณภาพดินด้วยเซนเซอร์และระบบปัญญาประดิษฐ์ จากวิทยาลัยอาชีวศึกษาชลบุรี จังหวัดชลบุรี

– ด้านพลังงาน สิ่งแวดล้อม เทคโนโลยีวัสดุ และ BCG Economy Model

ระดับ 4 ดาว ได้แก่ผลงานเรื่อง เครื่องคิดค่าไฟฟ้าแรงดันไฟฟ้าต่ำแบบต่อเนื่อง จากวิทยาลัยการอาชีพพระสมุทรเจดีย์ จังหวัดสมุทรปราการ
ระดับ 4 ดาว ได้แก่ผลงานเรื่อง สถานีบริการรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าด้วยพลังงานสะอาด จากวิทยาลัยอาชีวศึกษาเทคโนโลยีฐานวิทยาศาสตร์(ชลบุรี) จังหวัดชลบุรี
ระดับ 3 ดาว ได้แก่ผลงานเรื่อง เครื่องเก็บสารทำความเย็น จากวิทยาลัยเทคโนโลยีปัญญาภิวัฒน์ จังหวัดนนทบุรี

– ด้านคุณภาพชีวิตและ Soft power

ระดับ 5 ดาว ได้แก่ผลงานเรื่อง ผลิตภัณฑ์ของที่ระลึกเพื่อการท่องเที่ยว “อรุณอะไลฟ์” จากวิทยาลัยอาชีวศึกษาธนบุรี กรุงเทพมหานคร
ระดับ 4 ดาว ได้แก่ผลงานเรื่อง หอมรสเลิศ จากวิทยาลัยเทคโนโลยีปัญญาภิวัฒน์ จังหวัดนนทบุรี
ระดับ 3 ดาว ได้แก่ผลงานเรื่อง “พบเพชร (Pob-Phet)” ผลิตภัณฑ์ชุดแฟชั่นผ้าพิมพ์ลาย จากอัตลักษณ์จิตรกรรมฝาผนังโบราณสถาน วัดเกาะ จังหวัดเพชรบุรี จากวิทยาลัยอาชีวศึกษาเพชรบุรี จังหวัดเพชรบุรี
ระดับ 3 ดาว ได้แก่ผลงานเรื่อง ประทัดดิจิทัลรักษ์โลก จากวิทยาลัยเทคนิคฉะเชิงเทรา จังหวัดฉะเชิงเทรา

               ทั้งนี้ กิจกรรมนี้ไม่เพียงเป็นเวทีสำหรับการนำเสนอผลงานเท่านั้น แต่ยังเป็นโอกาสในการแลกเปลี่ยนความรู้ จุดประกายไอเดีย และสร้างแรงบันดาลใจให้กับนักศึกษาในการพัฒนาตนเองและสร้างผลงานที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม วช. และ สอศ. มั่นใจว่าผลงานที่เกิดขึ้นในวันนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนาไปสู่การใช้งานจริง และเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ และพร้อมสนับสนุนบุคลากรสายอาชีวศึกษาในการสร้างสรรค์นวัตกรรมที่มีคุณค่าและเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม


วันอาทิตย์ที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568

วช. จับมือ สอศ. เสริมแกร่งบุคลากรอาชีวะ! เปิดเวที “TVET Smart Idea2Innovation” บ่มเพาะไอเดียนวัตกรรม เริ่มกิจกรรมครั้งแรกในภาคกลางและภาคตะวันออกภำัุ

 วช. จับมือ สอศ. เสริมแกร่งบุคลากรอาชีวะ! เปิดเวที “TVET Smart Idea2Innovation” บ่มเพาะไอเดียนวัตกรรม เริ่มกิจกรรมครั้งแรกในภาคกลางและภาคตะวันออก

วันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2568 สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ(วช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ร่วมกับ สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา จัดกิจกรรม “TVET Smart Idea2Innovation : สิ่งประดิษฐ์และนวัตกรรมและนวัตกรรมอาชีวศึกษาสู่นวัตกรรมพร้อมใช้” ครั้งที่ 1 โดย ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ ให้เกียรติเป็นประธานในพิธีเปิด และปาฐกถาพิเศษเรื่อง “TVET Smart Idea2Innovation : บ่มเพาะ เสริมแกร่ง พัฒนาบุคลากรอาชีวศึกษา สู่นวัตกรรมพร้อมใช้” พร้อมด้วย ดร.นิรุตต์ บุตรแสนลี ผู้อำนวยการสำนักวิจัยและพัฒนาการอาชีวศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กล่าวบรรยายพิเศษ เรื่อง “ปลดล็อกศักยภาพ สร้างชาติด้วยนวัตกรรม : บทบาทของอาชีวศึกษาในการขับเคลื่อน TVET Smart Idea2Innovation” ณ โรงแรมมารวยการ์เด้น กรุงเทพมหานคร

ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ กล่าวว่า วช. ได้ร่วมมือกับ สอศ. ในการมุ่งเน้นเพิ่มสมรรถนะให้แก่นักเรียนระดับอาชีวศึกษา โดยกิจกรรม “TVET Smart Idea2Innovation : สิ่งประดิษฐ์และนวัตกรรมอาชีวศึกษาสู่นวัตกรรมพร้อมใช้” ได้เสริมสร้างและถ่ายทอดองค์ความรู้ ทักษะและเทคนิค ด้านการประดิษฐ์คิดค้นตลอดจนการเขียนข้อเสนอโครงงานสิ่งประดิษฐ์ได้อย่างเป็นระบบ พร้อมทั้งกระตุ้นและสร้างแรงจูงใจให้นักประดิษฐ์สายอาชีวศึกษาได้เข้าใจและเห็นประโยชน์ของการวิจัยและการประดิษฐ์คิดค้นเพื่อสร้างสรรค์ผลงานในเชิงนวัตกรรมที่สามารถพัฒนาต่อยอดและสร้างมูลค่าเพิ่มสู่การใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์และสังคม

ดร.นิรุตต์ บุตรแสนลี ผู้อำนวยการสำนักวิจัยและพัฒนาการอาชีวศึกษา กล่าวขอขอบคุณ วช. ในการสนับสนุนการสร้างสรรค์ผลงานสิ่งประดิษฐ์และนวัตกรรม เพื่อสร้างแรงบันดาลใจที่จะนำพลังของอาชีวศึกษา มาเพิ่มประสิทธิภาพงานที่จะเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ โดยนำผลงานวิจัยและนวัตกรรมเข้ามาช่วยขับเคลื่อนระบบอาชีวศึกษา และพัฒนาทักษะเพื่อเตรียมคนรุ่นใหม่ให้พร้อมรับมือกับโลกอนาคต เพื่อปรับปรุงกระบวนการเรียนรู้ การดำเนินโครงการต่างๆ ในการช่วยเสริมสร้างศักยภาพของบุคลากรและนักเรียนอาชีวศึกษาให้สามารถแข่งขันในตลาดแรงงานได้

การจัดกิจกรรม “TVET Smart Idea2Innovation : สิ่งประดิษฐ์และนวัตกรรมและนวัตกรรมอาชีวศึกษาสู่นวัตกรรมพร้อมใช้” มีการบรรยายเรื่อง “ปลดล็อคไอเดีย สู่ข้อเสนอโครงการสิ่งประดิษฐ์สุดเจ๋ง!” โดย รองศาสตราจารย์ ดร.ขนิษฐา ชัยรัตนาวรรณ ผู้ช่วยผู้อำนวยการสำนักวิชาศึกษาทั่วไป มหาวิทยาลัยศรีปทุม การบรรยายเรื่อง “ไขรหัสความสำเร็จ: เจาะลึก Case Study สิ่งประดิษฐ์สู่การสร้างนวัตกรรม” โดย คุณอภิชาติ ปู่มี Founder & Chief Technology Officer (CTO) PAC Corporation Co., Ltd. และมีการเสวนาเรื่อง “คิด(ส์) ประดิษฐ์…ติดอะไร? เสวนาไขปัญหา สู่ทางออก” โดย ดร.นิรุตต์ บุตรแสนลี ผู้อำนวยการสำนักวิจัยและพัฒนาการอาชีวศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.บรรยงค์ รุ่งเรืองด้วยบุญ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ดร.พรเทพ ศักดิ์สุจริต สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และดำเนินรายการโดย ศาสตราจารย์ ดร.ผดุงศักดิ์ รัตนเดโช มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาและนวัตกรรมในประเทศไทยให้ก้าวสู่ระดับสากลอีกด้วย

ทั้งนี้ กิจกรรม “TVET Smart Idea2Innovation : สิ่งประดิษฐ์และนวัตกรรมและนวัตกรรมอาชีวศึกษาสู่นวัตกรรมพร้อมใช้” จะจัดขึ้นใน 4 ภูมิภาค ได้แก่ ภาคกลางและภาคตะวันออก ภาคใต้และภาคตะวันตก ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคเหนือ เพื่อเป็นการขับเคลื่อนอย่างต่อเนื่องในการเร่งพัฒนาบุคลากรทางการศึกษาเสริมสร้างทักษะที่สำคัญและมีสมรรถนะตรงตามความต้องการในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ

คนดูทะลุ 2 แสน! ย้อนรอยบอลเดินสาย 9Up Arena สุดสนุก

คนดูทะลุ 2 แสน! ย้อนรอยบอลเดินสาย 9Up Arena สุดสนุก แฟนคลับ นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด และผู้สนับสนุนหลักในเอเชียร่วมกันสนับสนุนการแข่งขันฟุตบอลเดิ...