วันศุกร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2568

“เชฟบุช” และ “อปป้ามาวิน“ พาไปเยือนถิ่นอีสาน เรียนรู้วิถีนายฮ้อย เสริมความปังกันที่ จังหวัดสกลนคร ในรายการ “เที่ยวฟินกินฉ่ำ” เสาร์นี้ ทางไทยรัฐทีวี

“เชฟบุช” และ “อปป้ามาวิน“ พาไปเยือนถิ่นอีสาน เรียนรู้วิถีนายฮ้อย เสริมความปังกันที่ จังหวัดสกลนคร ในรายการ “เที่ยวฟินกินฉ่ำ” เสาร์นี้ ทางไทยรัฐทีวี

 ”นายฮ้อยมาวิน“ และ ”นายฮ้อยบุช“ มาแล้วเด้อ เที่ยวสกลนครรอบนี้ 2 พิธีกรหนุ่ม แฮปปี้กันสุดๆ เพราะนอกจากจะได้มูฯ ที่ “วัดพระธาตุเชิงชุม” สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ คู่เมืองชาวสกลนคร ขอเงินหมื่น เงินแสนแล้ว ยังเป็นการเอาฤกษ์เอาชัย การเยือนเมืองอีสานครั้งแรกของรายการ “เที่ยวฟินกินฉ่ำ” ด้วย มาเมืองสกลฯ ทั้งที ต้องมีเมนู “เนื้อ” เน้นๆ เพราะที่นี่ขึ้นชื่อเรื่อง “เนื้อโคขุนโพนยางคำ” ที่บอกเลยว่าถูกใจอปป้าแน่นอน แต่ก่อนจะไปลุยกินเนื้อกันแบบฉ่ำๆ ต้องแวะมาที่ร้านส้มตำในตำนาน ที่ตำมานานมาก “ร้านส้มตำยายเรือง” ตำมาตั้งแต่ยายเรืองเป็นน้องเรือง คนทั่วจังหวัดสกลฯ ไม่มีใครไม่รู้จัก ความแซบ นัวร์ และความเป็นตำนานของที่นี่ แล้วไปต่อกันที่ “เสธ.โคขุน” ร้านก๋วยเตี๋ยวเนื้อโพนยางคำเจ้าเด็ด กับเมนูที่ต้องมากิน เนื้อชิ้นใหญ่ๆ กับน้ำซุปน้ำตกเข้มข้น ถูกใจสายเนื้อแน่นอน 
 

มาสกลฯ ต้อง โคขุนโพนยางคำ อปป้า เลยพาเชฟบุช ไปหาวัตถุดิบสำหรับเมนูพิเศษ ที่ “สหกรณ์การเลี้ยงปศุสัตว์ กรป. กลางโพนยางคำ” ไปดูการขุน การเก็บเนื้อคุณภาพ และลองทุกเมนูความอร่อย ที่บอกเลยว่า ใครที่เป็นสายเนื้อ ห้ามใจไม่ได้แน่นอน
 

หลังจากไปดูวิถีการเลี้ยงโคขุนแล้ว สองหนุ่มก็แปลงร่างไปใช้ชีวิตตามวิถีนายฮ้อย ลองกินข้าวป่ากลางดินกลางทุ่ง แช่อ่างจากุซซี่ ที่ทำเอาอปป้าถึงกับร้องลั่นทุ่ง ไม่รู้ชอบใจหรือเพราะอะไร ต้องติดตาม พร้อมเปิดสูตรน้ำจิ้มสเต็กเนื้อรสเด็ด จากเชฟบุช ผสมผสานความไทบ้านและฝรั่ง อปป้าการันตีว่าลงตัวมาก
 

พบกันวันเสาร์ ที่ 29 มีนาคมนี้ เวลา 15.15 - 16.00 น. ทางไทยรัฐทีวี ช่อง 32 ในรายการ “เที่ยวฟินกินฉ่ำ” รายการที่จะกระตุ้นความหิวให้กับคุณก่อนมื้อเย็น กับการเดินทางของ 2 หนุ่ม ที่ตอบโจทย์เรื่อง กิน และ เที่ยว ทั่วไทย

สามารถติดตามทุกความฟินของ “เที่ยวฟินกินฉ่ำ” ได้ทาง facebook & tiktok : เที่ยวฟิน กินฉ่ำ
 
#เที่ยวฟินกินฉ่ำ #กินฉ่ำๆกับมาวินเที่ยวฟินๆกับเชฟบุช #มาวินฟินเวอร์ #เชฟบุชเบบี๋ #ไทยรัฐทีวีช่อง32

วันจันทร์ที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2568

"ครัวคุณต๋อยยกทัพ บุก เซ็นทรัล ศรีราชา"

"ครัวคุณต๋อยยกทัพ บุก เซ็นทรัล ศรีราชา"
วันที่ 28 มีนาคม – 7 เมษายน 2568 
บริเวณ ลานกิจกรรม ชั้น G หน้าร้าน CC-OO และ หน้าร้าน Cath Kidston
“คุณตูน-พัทธยศ ลิมปพัทธ์” ในฐานะผู้จัดงานเชิญชวนสายกิน ศรีราชาเตรียมมาดื่มด่ำความอร่อยสุดประทับใจกันที่งาน "ครัวคุณต๋อยยกทัพ" มหกรรมอาหารที่รวมร้านอร่อยจากทั่วฟ้าเมืองไทย มาเสิร์ฟให้ทุกท่านได้ช้อป ชิม กิน รีวิวตลอด 11 วันเต็ม
พบกับ 60 ร้านเด็ดระดับตำนาน ฝีมือขั้นเทพที่ผ่านการคัดเลือกอย่างพิถีพิถัน ใส่ใจทุกขั้นตอน ปรุงสดใหม่ทุกวัน การันตีคุณภาพโดยทีมงานครัวคุณต๋อย อาทิเช่น เจ๊แมวหมูย่างแดงกรอบสูตรเมืองตรัง / ลูกชิ้นปลาสองพี่น้อง / ไก่ย่างจีระพันธ์ / บ้านฝอยทอง / ปาหนันผลไม้สด / ก๋วยเตี๋ยวแห้งกะเทยเจ๊แมน / แม่ทองปอนด์หลนปูม้า น้ำพริกไข่ปู / Kingoctopus ราชาปลาหมึก / แสนจินดาไส้กรอกข้าวไรซ์เบอร์รี่ / 
ใบเฟิร์นแค๊ปหมูกระจก
ลิ้มลองเมนูอร่อยหลากหลายสไตล์ ไทย และนานาชาติ ทั้งอาหารคาว หวาน ของว่าง และเครื่องดื่ม
ที่จะทำให้ทุกท่านหลงใหลในรสชาติอย่างแท้จริง
ไฮไลท์สุดพิเศษ
"ครัวคุณต๋อย Selected" โซนอร่อยที่พร้อมให้คุณมาเปิดประสบการณ์ความอร่อยจากร้านเด็ด รสชาติถูกปาก คุณภาพสุดประทับใจ

ในวันเปิดงานวันแรกคุณจะได้
พบกับ พิธีกรชื่อดังจากรายการครัวคุณต๋อย นำโดย “อาต๋อย-ไตรภพ ลิมปพัทธ์” “คุณโก๊ะตี๋ อารามบอย” “คุณนก-สุภัทรพร” ผู้จะพาท่านดื่มด่ำกับเรื่องราวความอร่อยทั้งงาน และร่วมถ่ายรูปกับผู้บริหารของเซ็นทรัลศรีราชา
พร้อมด้วย “คุณก่อเกียรติ ลิมปพัทธ์” ผู้อำนวยการฝ่ายผลิตของเรา ตื่นตากับกับกิจกรรม Cooking Show ที่จะมาบอกสูตรเด็ด เคล็ดลับ เมนูอร่อยจากวัตถุดิบชั้นเลิศ ให้ทุกท่านได้ลิ้มลอง
พิเศษสุด!! เฉพาะวันที่ 28 มีนาคม 2568 พลาดไม่ได้กับเมนูเด็ด การันตีความอร่อย 10 คะแนนเต็มจากรายการครัวคุณต๋อย และผลไม้GI ที่คงความเป็นเอกลักษณ์ของ อ.ศรีราชา ได้แก่ "ข้าวผัดรัญจวน และ สับปะรดศรีราชา" สองร้านเด็ดที่จะมาสร้างประสบการณ์ความอร่อยให้ท่านเพียงวันเดียวเท่านั้น
 
รายละเอียดงาน สถานที่ : เซ็นทรัล ศรีราชาลานกิจกรรม ชั้น G หน้าร้าน CC-OO และ หน้าร้าน Cath Kidston
ในวันที่ 28 มีนาคม – 7 เมษายน 2568
เวลา: เปิด-ปิด จันทร์-ศุกร์ 10.30 – 21.00 น. / เสาร์-อาทิตย์และวันหยุดนักขัตฤกษ์ 10.30 – 22.00 น.
 
ร่วมสร้างปรากฏการณ์ความสำเร็จโดย 
• ศูนย์การค้าเซ็นทรัล ศรีราชา
• หมูยอ วชาลิสา สูตรเวียดนาม ไม่ใส่แป้ง ต้นตำรับ 50 ปี จากรุ่นสู่รุ่น
• บริษัท มณีอุดมสุข จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่าย ถุงพลาสติก ตราปู คุณภาพเยี่ยม "ใส่ใจคุณภาพ มั่นใจถุงตราปู"
• สถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3
#ครัวคุณต๋อยยกทัพ #ครัวคุณต๋อย #ประสบการณ์ที่ต้องลิ้มลอง #เซ็นทรัลศรีราชา #CentralSiRacha

สามารถติดตามรายละเอียดได้ที่ FACEBOOK ครัวคุณต๋อย เว็บไซต์ www.kruakhuntoi.com แอปพลิเคชันครัวคุณต๋อย 

วันพฤหัสบดีที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2568

สภาฯ รับทราบรายงาน กมธ. บุหรี่ไฟฟ้า เน้นป้องเยาวชน ส่งไม้ต่อ ครม. ชี้ชะตาคุมบุหรี่ไฟฟ้าถูกกฎหมาย

สภาฯ รับทราบรายงาน กมธ. บุหรี่ไฟฟ้า เน้นป้องเยาวชน ส่งไม้ต่อ ครม. ชี้ชะตาคุมบุหรี่ไฟฟ้าถูกกฎหมาย


สภาผู้แทนราษฎรรับทราบรายงาน กมธ. วิสามัญบุหรี่ไฟฟ้า เสนอ 3 ทางเลือกนโยบาย เน้การปกป้องเด็กและเยาวชน และเห็นชอบกับข้อสังเกตุของ กมธ. เตรียมส่งต่อให้คณะรัฐมนตรีพิจารณา ผู้สื่อข่าวรายงานจากการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 25 สมัยสามัญประจำปีครั้งที่ 2 วันที่ 20 มีนาคม ซึ่งมีวาระรับทราบรายงานของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษากฎหมายและมาตรการควบคุมกำกับบุหรี่ไฟฟ้าในประเทศไทย โดยในช่วงแรก นายภราดร ปริศนานันทกุล รองประธานสภา ทำหน้าที่ดำเนินการประชุมในครั้งนี้ ได้เปิดโอกาสให้คณะกรรมาธิการวิสามัญฯ นำโดย นายนิยม วิวรรธนะดิฐกุล ประธานคณะกรรมการวิสามัญ ฯ  รายงานผลการศึกษาวิเคราะห์ผลกระทบจากบุหรี่ไฟฟ้าในด้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องผลกระทบต่อสุขภาพ สังคม และเศรษฐกิจ ซึ่งนายนิยมได้ชี้แจงว่ารายงานนี้ผ่านการพิจารณาด้วยความรอบคอบเป็นกลาง ด้วยการเชิญหน่วยงาน องค์กร บุคคล มาให้ข้อมูลข้อเท็จจริงต่างๆ และรับฟังความคิดเห็นจากผู้เกี่ยวข้องในทุกภาคส่วน ได้แก่ กระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงสาธารณสุข กองทุนสนับสนุนการเสริมสร้างสุขภาพแห่งชาติ การยาสูบแห่งประเทศไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ องค์การอนามัยโลก สถาบันด้านการแพทย์ รวมทั้งภาคประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากมาตรการห้ามบุหรี่ไฟฟ้าในปัจจุบัน พร้อมระบุว่ารายงานนี้เป็นรายงานที่ศึกษาตามบริบทของประเทศไทย โดยเฉพาะการระบาดในเด็กเยาวชนในสังคมปัจจุบัน 
ต่อมา นพ.ภูมิมินทร์ ลีธีระประเสริฐ หนึ่งในกรรมาธิการ ฯ ได้นำเสนอแนวทางในการกำหนดนโยบายและการดำเนินงานของรัฐบาลเกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้า เป็น 3 แนวทาง ได้แก่

แนวทางที่ 1: บุหรี่ไฟฟ้า และผลิตภัณฑ์ยาสูบแบบให้ความร้อน (Heated Tobacco Products) ทุกประเภท เป็นสิ่งที่ผิดกฎหมาย โดยเน้นที่การแก้ไขกฎหมายที่มีอยู่หรือออกกฎหมายใหม่ เพื่อห้ามการผลิต นำเข้า จำหน่าย และครอบครองบุหรี่ไฟฟ้า ซึ่งจะช่วยลดผลกระทบทางสุขภาพ ปรับปรุงการบังคับใช้ให้เข้มงวดมากขึ้น
แนวทางที่ 2: ผลิตภัณฑ์ยาสูบแบบให้ความร้อน (Heated Tobacco Products: HTPs) เป็นสิ่งที่ถูกควบคุมตามกฎหมาย โดยการแก้ไขกฎหมายเพื่อควบคุมภายใต้กฎหมายที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็น ประกาศกระทรวงพาณิชย์ คำสั่งคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ออกกฎกระทรวงต่าง ๆ เพื่อควบคุม ไปจนถึงการโฆษณา การนำเข้าขาย มาตรฐานผลิตภัณฑ์ แก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับการนำเข้าศุลกากร ระเบียบกรมสรรพสามิต ช่วยให้กฎหมายมีประสิทธิภาพ เป็นทางเลือกของประชาชน ช่วยเหลือเกษตรกรที่ปลูกยาสูบ การแปรรูปผลผลิต และออกมาตรการการป้องกันการเข้าถึงของเยาวชน
แนวทางที่ 3: บุหรี่ไฟฟ้า และผลิตภัณฑ์ยาสูบแบบให้ความร้อน (Heated Tobacco Products) ยกเว้น toy pod ให้เป็นสิ่งที่ถูกควบคุมตามกฎหมาย โดยมีการแก้ไขกฎหมายเพื่อให้สามารถนำเข้า ผลิต และจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้าได้ภายใต้การควบคุม ทั้งกฎกระทรวง ภาษีสรรพสามิต ซึ่งจะช่วยให้รัฐสามารถจัดเก็บภาษี และควบคุมมาตรฐานผลิตภัณฑ์ได้ เป็นทางเลือกให้ประชาชน ลดการทุจริตคอรัปชั่นจากช่องว่างทางกฎหมาย แต่ก็ต้องมีมาตรการป้องกันการเข้าถึงของเด็กและเยาวชนอย่างเข้มงวด


ประธานในที่ประชุมได้เปิดให้มี สส. อภิปราย โดย นางสาวลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจ สส. พรรคเพื่อไทยกล่าวถึงความน่ากังวลของบุหรี่ไฟฟ้าในหมู่เยาวชน โดยระบุว่า แม้ประเทศไทยจะมีกฎหมายห้ามการนำเข้าและจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้าแล้ว แต่จำนวนผู้ใช้กลับเพิ่มขึ้น 10 เท่าในระยะเวลาเพียง 1 ปี “ขอชื่นชมนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร ที่ออกมาตรการเข้มงวดภายใน 30 วัน ส่งผลให้มีการจับกุมกว่า 1,000 คดี ซึ่งมากกว่าสถิติการจับกุมปีที่ผ่านมาทั้งปี และขอขอบคุณ กมธ. ที่นำเสนอแนวทางแก้ไขวิกฤติบุหรี่ไฟฟ้าอย่างจริงจัง ดิฉันเห็นด้วยกับแนวทางที่ 2 และ 3 แต่สิ่งสำคัญควรให้ความรู้แก่เด็กและเยาวชนเป็นสิ่งจำเป็นควบคู่ไปกับการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด” พร้อมทิ้งท้ายว่าวิกฤติสุขภาพจากบุหรี่ไฟฟ้าในวันนี้เป็นโอกาสของประเทศในการจะแก้ไขกฎหมายให้มีความชัดเจน


ต่อมา นายธีระชัย แสนแก้ว สส. พรรคเพื่อไทย เสริมว่า “บุหรี่ไฟฟ้ากำลังเป็นปัญหาที่แพร่ระบาดในสังคม โดยเฉพาะในหมู่เยาวชน แม้ว่าจะมีการกล่าวว่าบุหรี่ไฟฟ้าเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยกว่าการสูบบุหรี่ แต่ก็ยังคงมีอันตรายต่อสุขภาพ จึงขอเสนอให้รัฐบาลบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด และเรียกร้องให้มีมาตรการยึดทรัพย์ผู้นำเข้าบุหรี่ไฟฟ้า”
ด้าน นายภัณฑิล น่วมเจิม จากพรรคประชาชน ชี้ให้เห็นถึงปัญหาการบังคับใช้กฎหมายที่ล้มเหลว โดยบุหรี่ไฟฟ้ายังคงขายเกลื่อนตามร้านค้าข้างทางและออนไลน์ นอกจากนี้ยังมีปัญหาเรื่องพื้นที่ห้ามสูบที่ไม่ได้รับการจัดการอย่างจริงจัง     

 นายทรงยศ รามสูต สส. พรรคเพื่อไทย จังหวัดน่าน ได้ลุกขึ้นเสนอความเห็นว่า “ยาสูบเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญของจังหวัดน่าน แต่ระยะหลังนี้อุตสาหกรรมถดถอยลงไปมาก เนื่องจากบุหรี่เถื่อนและบุหรี่ไฟฟ้าระบาดมากขึ้น รัฐบาลก่อนหน้านี้ไม่เคยเอาจริงเอาจังกับการปราบปรามบุหรี่ไฟฟ้า แต่รัฐบาลนายกแพทองธารเดินหน้าอย่างจริงจัง ซึ่งต้องขอชื่นชม และเห็นด้วยกับข้อเสนอในรายงานของ กมธ. ชุดนี้ ว่าควรต้องมีการปรับปรุงกฎหมายบุหรี่ไฟฟ้าให้มีความเฉพาะ ควบคุมการนำเข้า การเสพ การครอบครอง รวมทั้ง กำหนดพื้นที่ที่เหมาะสมเฉพาะสำหรับการใช้บุหรี่ไฟฟ้า รวมถึงที่สภาแห่งนี้เองด้วย”
ด้านนายปรีติ เจริญศิลป์ สส. พรรคประชาชน จังหวัดนนทบุรี ระบุว่าเห็นด้วยกับแนวทางที่ 3 เช่นเดียวกับเสียง กมธ. ส่วนใหญ่ เพราะการแบนบุหรี่ไฟฟ้าไม่สามารถควบคุมปัญหาได้จริง แต่การควบคุมอย่างถูกกฎหมายพร้อมมีมาตรการที่ชัดเจน เช่น ห้ามพอดการ์ตูน ห้ามทำโฆษณาโปรโมชั่น และห้ามใช้ในที่สาธารณะ เป็นต้น จะสามารถแก้ปัญหาได้ พร้อมยกตัวอย่างประเทศที่ใช้มาตรการควบคุมแทนการแบน เช่น สหรัฐฯ และสหภาพยุโรป ที่สามารถกำกับคุณภาพและปกป้องผู้ไม่สูบบุหรี่ได้โดยไม่ริดรอนสิทธิของผู้สูบบุหรี่ ทั้งนี้ นายปรีติยังได้ทิ้งทายด้วยการตั้งคำถามถึงจุดยืนของนายกรัฐมนตรี นางสาวแพทองธารที่เคยสนับสนุนบุหรี่ไฟฟ้าถูกกฎหมายก่อนเลือกตั้ง แต่ปัจจุบันกลับสั่งปราบปราม

นอกจากนี้ ยังมี ส.ส. อีกหลายท่านได้แสดงความคิดเห็นไปในทิศทางเดียวกันว่า การปราบปรามเป็นมาตรการเร่งด่วนที่จำเป็น เพราะบุหรี่ไฟฟ้ากำลังเป็นภัยต่อประเทศชาติ แต่ในระยะยาว ประเทศไทยต้องมีกฎหมายที่ชัดเจนในการควบคุมบุหรี่ไฟฟ้าเพื่อลดปัญหาตลาดมืดและปกป้องสุขภาพของประชาชนโดยเฉพาะเด็กและเยาวชนซึ่งเป็นอนาคตของชาติ
ในช่วงท้ายของการประชุม นายนิยม วิวรรธนะดิฐกุล ประธานคณะกรรมการวิสามัญ ฯ ได้กล่าวสรุปว่า บุหรี่ไฟฟ้าเป็นปัญหาที่ยิ่งใหญ่ ต้องอาศัยความร่วมมือกับทุกฝ่าย เพราะเรามุ่งมั่นที่จะปกป้องเด็กและเยาวชนต่อบุหรี่ไฟฟ้า รัฐบาลที่กำลังปราบปรามเป็นสิ่งดี แต่อยากให้ทำต่อไป ด้วยการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง รวมไปถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง การสร้างความตระหนักรู้กับเด็กและเยาวชน โดยเฉพาะกระทรวงศึกษาธิการต้องเน้นย้ำให้มากขึ้น พร้อมตั้งประเด็นว่าปัญหาเกี่ยวกับการควบคุมบุหรี่ไฟฟ้าควรมี พ.ร.บ.ที่ควบคุมอย่างชัดเจนได้แล้วหรือไม่ จึงฝากรัฐบาลและฝ่ายบริหารนำผลการศึกษาและการอภิปรายในครั้งนี้ไปศึกษาต่อไป หลังจากนั้นสภาฯ ได้มีมติรับทราบรายงานและข้อสังเกตของ กมธ. ก่อนปิดการประชุม

วันพุธที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2568

เปิดตัว “สมาคมนานาพร” จับมือ “ลำธารสีรุ้ง” สร้างพื้นที่แห่งความเท่าเทียมเคารพความหลากหลาย LGBTQIA+

เปิดตัว “สมาคมนานาพร” จับมือ “ลำธารสีรุ้ง” 
สร้างพื้นที่แห่งความเท่าเทียมเคารพความหลากหลาย LGBTQIA+


“สมาคมนานาพร” นำโดย “นก” มารียา สุวแพทย์ ประมวล ประธานสมาคมผู้ก่อตั้ง ร่วมด้วย ว่าที่ ดร.รัชยา นิลกรรณ์ รองประธานสมาคม และ ประธานด้านอัตลักษณ์ และการยอมรับความหลากหลายทางเพศ ประกาศเปิดตัวอย่างเป็นทางการ พร้อมจับมือ “กลุ่มลำธารสีรุ้ง” โดย ซัน-สิทธวีร์ ธีรกุลชน ผู้ก่อตั้ง ร่วมผลักดันให้ LGBTQIA+ เป็นที่ยอมรับ ยึดมั่นหลักความเท่าเทียม เคารพในความหลากหลาย โดยไม่เลือกปฏิบัติและการกีดกันในทุกรูปแบบ มุ่งเน้นการสร้างชุมชนออนไลน์ที่ปลอดภัย เข้าถึงง่าย และทันสมัย เชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกทุกคน ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดในโลก โดยในงานได้รับเกียรติจาก อิ๊กคิว-ฤกษ์สิน เขมสุนทร ทีมผู้อภิบาลกลุ่มลำธารสีรุ้ง เป็นตัวแทนเข้าร่วมแถลงข่าว ณ โรงแรม เดอะ บาซาร์ โฮเทล กรุงเทพฯ

“นก” มารียา สุวแพทย์ ประมวล ประธานสมาคมผู้ก่อตั้ง “สมาคมนานาพร” เผยว่า “เป็นเรื่องน่ายินดีที่ประเทศไทยได้รับการรับรองในกฎหมายสมรสเท่าเทียมอย่างเป็นทางการ และมีผลบังคับใช้เรียบร้อยแล้ว ที่ผ่านมาถือเป็นชัยชนะครั้งยิ่งใหญ่สำหรับชุมชน LGBTQIA+ แต่ในความเท่าเทียมทางศาสนายังคงไม่ได้เกิดขึ้น โดยเฉพาะในชุมชนคริสเตียน การจัดตั้งสมาคมนานาพรจึงเหมือนเป็นพันธกิจของเรา ที่ผ่านมามีเพียง “กลุ่มลำธารสีรุ้ง” นำโดย คุณซัน-สิทธวีร์ ธีรกุลชน ผู้ก่อตั้ง ได้ออกมาเรียกร้องสิทธิความเท่าเทียมนี้ และทางกลุ่มของเราได้เล็งเห็นว่าสิ่งนี้เป็นมิติที่ลึกซึ้ง เราจึงได้จัดตั้ง “สมาคมนานาพร” ขึ้น โดยมีเป้าหมายสำคัญในการเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับความรักของพระเจ้า ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในกรอบของศาสนา แต่มุ่งเน้นความสัมพันธ์แท้จริงเหมือนที่ปรากฏในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลยุคแรก เราตระหนักว่ามีคนไทยจำนวนมากที่สนใจศึกษา ค้นคว้า และแสวงหาความรู้ในมิตินี้ จึงมีแนวคิดในการสร้างพื้นที่ปลอดภัยและชุมชนออนไลน์ที่เข้าถึงง่าย โดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเป็นสื่อกลางให้สมาชิกจากทั่วโลกสามารถเชื่อมต่อกันได้ โดยได้พัฒนาเว็บไซต์ที่รวบรวมบทความที่มีคุณภาพ รวมถึงชุมชนการเรียนรู้ทั้งแบบออนไลน์และออฟไลน์ เพื่อนำเสนอข้อมูล ความรู้ และแนวคิดที่มีการศึกษา วิเคราะห์ และเรียบเรียงอย่างเป็นระบบ ผ่านการให้คำปรึกษา การพัฒนาทักษะที่จำเป็น และการสร้างเครือข่ายสนับสนุนทางสังคม โดยไม่มีค่าใช้จ่าย เพื่อส่งเสริมความเข้าใจและสนับสนุน LGBTQIA+ ในกลุ่มคริสเตียน ลดการกีดกันทางศาสนา และยอมรับความหลากหลายทางเพศเป็นส่วนหนึ่งของพระเจ้า “การเปิดตัวสมาคมนานาพร จึงไม่ได้เป็นเพียงก้าวสำคัญสำหรับคริสเตียน LGBTQIA+ เท่านั้น แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของการอยู่ร่วมกันอย่างสันติและเท่าเทียมในสังคม”




 ว่าที่ ดร.รัชยา นิลกรรณ์ ผู้สอบบัญชีใบอนุญาต IPA ออสเตรเลีย NLP coach โค้ชสื่อสารประสาทวิทยาเพื่อพัฒนาศักยภาพมนุษย์ ประเทศ ออสเตรเลียรองประธานสมาคม และ ประธานด้านอัตลักษณ์ และการยอมรับความหลากหลายทางเพศ (Chef Of Gender Identity and Affirmation) กล่าวต่อว่า “ความเท่าเทียมทางศาสนาและสิทธิของ LGBTQIA+ เป็นเรื่องที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในสังคมที่หลากหลายและต้องการความเข้าใจซึ่งกันและกัน ทั้งสองประเด็นนี้เกี่ยวข้องกับเรื่องของสิทธิมนุษยชน การเคารพในความแตกต่าง และการยอมรับในตัวตนของแต่ละบุคคล บางครั้งเกิดความขัดแย้งระหว่างความเชื่อทางศาสนากับสิทธิสากลของ LGBTQIA+ เนื่องจากแนวคิดทางวัฒนธรรมหรือประเพณีอาจมีมุมมองที่ไม่เป็นที่ยอมรับหรือขัดแย้ง ที่ผ่านมา กลุ่มคริสเตียน LGBTQIA+ มักเผชิญกับปัญหาและความท้าทายเหล่านี้ ทั้งจากภายในชุมชนศาสนาและจากสังคมในวงกว้าง ไม่ว่าจะเป็นการถูกปฏิเสธจากชุมชนศาสนา การถูกประณามและการลงโทษ ไปจนถึงการถูกขับไล่ออกจากกลุ่ม ทำให้พวกเขาขาดพื้นที่ปลอดภัย ทำให้พวกเขารู้สึกโดดเดี่ยว การเติบโตในสภาพแวดล้อมที่บีบคั้นหรือไม่ยอมรับ อาจส่งผลทำให้คนหนุ่มสาวในกลุ่มนี้ประสบกับความยากลำบากในการยอมรับตัวตน หรือมีปัญหากับภาพลักษณ์ของตนเอง รู้สึกว่าไม่มีใครรับฟังหรือเข้าใจ จึงทำให้เราเกิดแนวคิดในการจัดตั้งสมาคมนานาพรขึ้น เพื่อสร้างพื้นที่ปลอดภัย และคอยให้คำแนะนำ เป็นที่ปรึกษา และคอยแนะแนวทางที่ถูกต้อง

และเรายังได้ร่วมกับ “กลุ่มลำธารสีรุ้ง” ในการร่วมกัน เพื่อผลิตสื่อที่ช่วยให้เกิดการฟื้นฟูความสัมพันธ์ในครอบครัว ทั้งระหว่างคู่สมรส พ่อแม่กับบุตร รวมถึงความสัมพันธ์ในที่ทำงาน ชีวิต ทั้งในรูปแบบออนไลน์และออฟไลน์ โดยไม่มีค่าใช้จ่าย เรามีชุมชนที่ส่งเสริมการเรียนรู้และพัฒนาคุณภาพ ซึ่งครอบคลุมการให้คำปรึกษาด้านครอบครัวและการดำเนินชีวิต การพัฒนาทักษะที่จำเป็นสำหรับสังคมปัจจุบัน การสร้างพื้นที่แลกเปลี่ยนเรียนรู้ และการส่งเสริมการยอมรับในความหลากหลายของสังคม เพราะเราเชื่อว่าสังคมที่เข้มแข็งเริ่มต้นจากครอบครัวและความสัมพันธ์ที่ดี เรายังได้ตั้งใจดำเนินกิจกรรมสาธารณประโยชน์และพัฒนาสังคมโดยไม่แสวงหากำไร ภายใต้หลักธรรมาภิบาล ทั้งการสนับสนุนผู้ด้อยโอกาส การส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชน การประสานความร่วมมือกับองค์กรและเครือข่ายต่างๆ และการพัฒนาระบบช่วยเหลือสังคมที่มีประสิทธิภาพและยั่งยืน” 

“สำหรับข้อมูลทั่วไปและการติดต่องาน ท่านสามารถติดต่อได้ที่ คุณยอห์น ประมวล หมายเลขโทรศัพท์: 087-072-2887 อีเมล: nok.john@world-outreach.com สำหรับท่านที่ต้องการคำปรึกษาเกี่ยวกับปัญหาชีวิต ท่านสามารถติดต่อโดยตรงได้ที่ คุณนก มารียา LINE Official: @p.nok สำหรับท่านที่ต้องการคำปรึกษาเฉพาะด้านเกี่ยวกับประเด็น LGBTQIA+ และความหลากหลายทางเพศ เรามีผู้เชี่ยวชาญที่พร้อมให้คำแนะนำด้วยความเข้าใจและเคารพ ท่านสามารถติดต่อได้ที่: คุณเรย่า Line : rayya.yhwh / TIKTOK : lgbtqblessings / ไลน์กลุ่ม LGBTQIA+ VIP รวมถึงสามารถเข้าไปดูข้อมูลดี ๆ และติดต่อ “กลุ่มลำธารสีรุ้ง” ได้ที่ https://rainbowstream.club หรือ www.facebook.com/rainbowstreamclub/ ทุกการติดต่อจะได้รับการเก็บเป็นความลับ เรามุ่งมั่นที่จะสร้างพื้นที่ปลอดภัยสำหรับทุกคนที่ต้องการความช่วยเหลือหรือคำแนะนำ โดยไม่มีการตัดสินหรือแบ่งแยก ในอนาคตอันใกล้ เราจะมีช่องทางการติดต่อเพิ่มเติมผ่านเว็บไซต์และสื่อสังคมออนไลน์ ซึ่งจะทำให้ท่านสามารถเข้าถึงบริการและข้อมูลของเราได้สะดวกยิ่งขึ้น” ว่าที่ ดร.รัชยา นิลกรรณ์ กล่าวทิ้งท้าย

วันอังคารที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2568

ไทย-สปป.ลาว กระชับความร่วมมือฉลอง 75 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูต พร้อมจัดคาราวานสื่อมวลชนสัญจร

ไทย-สปป.ลาว กระชับความร่วมมือฉลอง 75 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูต 
พร้อมจัดคาราวานสื่อมวลชนสัญจร
เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2568 นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง และนายพีรเมศร์ วุฒิธรเนติรักษ์ ผู้อำนวยการสำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) หรือ สพพ. ได้เข้าร่วมหารือทวิภาคีกับ Mr. Phouvong Kittavong รองรัฐมนตรีกระทรวงการเงิน สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ณ โรงแรมเลอธาตุหลวง นครหลวงเวียงจันทน์ 

การหารือครั้งนี้จัดขึ้นเพื่อเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างไทย และสปป.ลาว เนื่องในโอกาสครบรอบ 75 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-สปป.ลาว รวมถึงเป็นเวทีสำหรับหารือแนวทางพัฒนาโครงการสำคัญระหว่างสองประเทศ เช่น การเชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐาน การเงินการคลัง และการค้าระหว่างประเทศเพื่อส่งเสริมการรับรู้เกี่ยวกับโครงการพัฒนาระหว่างประเทศ และกระชับความสัมพันธ์ผ่านเครือข่ายสื่อมวลชนภายใต้กิจกรรมคาราวานสื่อมวลชนสัญจรไทย-สปป.ลาว ที่จัดขึ้นโดย สพพ.

ในการหารือทวิภาคีครั้งนี้ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังได้หารือในประเด็นเกี่ยวกับโครงการพัฒนาและการเชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อรองรับการขยายตัวของเศรษฐกิจ การเงินการคลัง และการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งไทยกำลังอยู่ระหว่างการจัดทำพระราชบัญญัติศูนย์กลางการประกอบธุรกิจทางการเงิน (Fin Hub) และการพัฒนาระบบ Cross-border QR Payment โดยเชื่อมโยง National ITMX (NITMX) ของไทย และ Lao National Payment Network (LAPNet) ของสปป.ลาว เพื่ออำนวยความสะดวกในการชำระเงินข้ามพรมแดน ซึ่งฝ่ายไทยพร้อมให้การสนับสนุนด้านการพัฒนาศักยภาพระบบการเงินของ สปป.ลาว ผ่านการถ่ายทอดองค์ความรู้และความร่วมมือทางเทคนิคต่าง ๆ สำหรับความร่วมมือด้านการค้าระหว่างประเทศ ได้มีแนวทางร่วมกันในการส่งเสริมการค้าสินค้าอุตสาหกรรมและเกษตรกรรม โดยเฉพาะอุตสาหกรรม รถกระบะ เนื่องจากมีความต้องการยานพาหนะประเภทนี้เพิ่มขึ้นใน สปป.ลาว แนวทางนี้จะช่วย ลดอุปสรรคทางการค้า และ เพิ่มการอำนวยความสะดวกด้านศุลกากร เพื่อส่งเสริมให้การค้าชายแดนดำเนินไปอย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

นอกจากนี้ นายพีรเมศร์ วุฒิธรเนติรักษ์ ผู้อำนวยการ สพพ. ได้รายงานถึงความก้าวหน้าของโครงการความร่วมมือระหว่าง สปป.ลาว และ ไทย ในปัจจุบัน รวมถึงแผนการขยายความร่วมมือในอนาคต ซึ่งครอบคลุมในด้านโครงสร้างพื้นฐาน การเงิน พลังงาน และการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม อาทิ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานสะอาด (Go Green) เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสร้างความมั่นคงด้านพลังงานในภูมิภาค การเสริมสร้างความร่วมมือด้านดิจิทัลและเทคโนโลยีทางการเงิน การขยายโครงการฝึกอบรมและพัฒนาศักยภาพบุคลากรของ สปป.ลาว ซึ่งจะช่วยให้ไทยและ สปป.ลาว สามารถพัฒนาเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน สร้างโอกาสใหม่ ๆ ทางการค้า และเสริมสร้างความเชื่อมโยงระหว่างประเทศให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น

วันจันทร์ที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2568

สองบริษัทใหญ่ ลงนาม MOU จัดสร้างภาพยนตร์ละครโทรทัศน์พีเรียด ฟอร์มยักษ์ อิงประวัติศาสตร์ล้านนาแห่งสยามเรื่อง ฮอยม่าน หวังสร้างมิติใหม่ ปลุกกระแสความรักชาติ ด้วยเรื่องราว โรแมนติคดราม่าผ่านกาลเวลา 3 ยุค

 



      ที่อาคารพิทยพัฒน์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช เมื่อวันที่ 15 มีนาคม ได้มีพิธีลงนามความร่วมมือและเปิดตัว ภาพยนตร์ละครโทรทัศน์พีเรียดประวัติศาสตร์ล้านนาแห่งสยาม เรื่อง ฮอยม่าน ระหว่างบริษัท ดีแอ็คฟิล์ม เอ็นเตอร์เทนเมน จำกัด และ บริษัท ราชหัตถ์จำกัด โดยมี ดร ภคมินทรา อุปะโยคิน กรรมการผู้จัดการ บริษัทดีแอคฟิล์ม เอ็นเตอร์ เทนเมนต์ จำกัดและคุณกัญญาภัทร เทพขาว ที่ปรึกษา กิติมศักดิ์และผู้ช่วยผู้อำนวยการสร้าง ร่วมกับ คุณรุ่งนภา ศรีชัยนาท กรรมการผู้จัดการบริษัทราชหัตถ์ จำกัด ตลอดจนดาราศิลปินและสื่อมวลชนร่วมในพิธีลงนาม 



 ดร. ภคมินทรา อุปะโยคิน ผู้อำนวยการสร้างและกรรม

การผู้จัดการบริษัทดีแอ็คฟิล์มเอ็นเตอร์เทนเมนต์ เปิดเผยว่า รู้สึกยินดีอย่างยิ่งที่จะรังสรรค์ร่วมมือสร้างภาพยนตร์ละครโทรทัศน์แนวพีเรียดอิงประวัติศาสตร์เทิดพระเกียรติ เจ้าผู้ครองนครล้านนาและ บูรพกษัตราธิราชแห่งสยาม ประเทศ ตลอดจนบุคคลในประวัติศาสตร์ หลวงโยนะการ พิจิตรซึ่งเป็นตัวละครเอกในเรื่องที่ได้สร้างคุณูปการแก่ ล้านนาเชียงใหม่ในการส่งเสริมพระพุทธศาสนาและอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมล้านนาแห่งสยามประเทศ ในฐานะผู้อำนวยการสร้างและผู้ประพันธ์เรื่องได้ทำความร่วมมือกับ



คุณรุ่งทิวา ศรีชัยนาท  กรรมการผู้จัดการบริษัทราชหัตถ์ ในฐานะผู้ร่วมรังสรรค์ละครดังกล่าวโดยการบันทึกข้อตกลงร่วมกัน สำหรับภาพยนตร์ละครโทรทัศน์เรื่องฮอยม่าน เป็นร่องรอยในแง่ของปฏิมากรรม ศิลปวัฒนธรรมที่มีรากฐานมาจากพม่าโดยคำว่า ฮอย หมายถึงร่องรอยที่แฝงทั้งอุดมการณ์และ วัฒนธรรม ส่วนคำว่าม่านในทางล้านนา หมายถึง ความเป็นพม่า 




    “ละครเรื่อง ฮอยม่าน ยังสื่อถึงนัยยะการสร้างความหมายเชิงอุดมการณ์และการต่อสู้การต่อรองความหมายผ่านเรื่องราวความทรงจำต่อมุมมองความรักที่เชื่อมโยงคุณค่าความสัมพันธ์ในมิติ สังคม เศรษฐกิจ การเมือง ตลอดจนภาษาและวิถีปฏิบัติ ของผู้คนอาณาจักรล้านนา ที่มีเชียงใหม่เป็นศูนย์กลางสู่สยามจนมีเนื้อนาขวานทอง ผืนเดียวกัน ขณะที่ละครเรื่องนี้ฉายภาพความศิวิไลของ โลกอนาคตที่ผู้คนเหาะเหินเดินอากาศในยุคปี พ.ศ. 2600 ที่ตัวละครเอกต้องกลายไปเป็นชาวพม่า คนในบังคับอังกฤษสู่ผู้ขับเคลื่อน สังคมและเศรษฐกิจในยุคเจ้าหลวงผู้ครองนครเชียงใหม่ เชื่อมโยงกับพระเจ้ากรุงสยามแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ กลิ่นอายของการย้อนวันเวลากลับไประหว่าง อดีต อนาคต เพิ่มอรรถรสให้กับการติดตามชม โดยคาดว่า จะออกสู่สายตาผู้ชมทั่วประเทศได้ในปลายปีนี้อย่างแน่นอน “







    ดาราผู้ร่วมแสดงใน ฮอยม่าน ประกอบด้วย แม็ค สุวิทย์ วันตา พิมพ์พรรณ ชลายนคุปต์ วาสนา สิทธิเวช สมชาติ ประชาไทย และนักแสดงรุ่นใหม่ และโปรดติดตาม การเปิดตัวพระเอก นางเอกในโอกาสต่อไป ซึ่งทีมงานจะรายงานความคืบหน้าเป็นระยะๆ



“โณนี่ จารุปิยา” ซอนเชี่ยนสโมสรซอนต้ากรุงเทพ 1ร่วมแสดงความยินดีกับผู้สนับสนุนการยกระดับคุณภาพของสตรีและเด็กในงาน “ZONTA ROSE DAY 2025”

“โณนี่ จารุปิยา” ซอนเชี่ยนสโมสรซอนต้ากรุงเทพ 1
ร่วมแสดงความยินดีกับผู้สนับสนุนการยกระดับคุณภาพของสตรีและเด็ก
ในงาน “ZONTA ROSE DAY 2025”
 

สมาคมซอนต้าประเทศไทย ได้จัดให้มีการประชุมใหญ่สามัญ เพื่อแถลงนโยบายของทีมบริหารให้แก่เหล่าซอนเชี่ยนสมาชิกสโมสรภายใต้สมาคมดังกล่าว เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2568 ที่ผ่านมา ณ ห้องจูบิลี่ ชั้น 11 โรงแรม เดอะ เบอร์เคลี่ย์ ประตูน้ำ กรุงเทพฯ นอกจากนี้ยังได้จัดให้มีพิธีเชิดชูเกียรติสตรีผู้บำเพ็ญประโยชน์แก่สตรีในงาน “ZONTA ROSE DAY 2025” เพื่อยกย่องเชิดชูเกียรติผู้อุทิศตนและสนับสนุนการยกระดับคุณภาพของสตรีและเด็ก ซึ่งเป็นตัวอย่างอันดีงามแก่สังคมมาอย่างต่อเนื่อง
โดยภายในงาน “ซอนเชี่ยนโณนี่ - จารุปิยา บริบาลบุรีภัณฑ์” ธิดาหลวงพ่อโต ประจำปี 2567 ได้รับเชิญให้เข้าร่วมงานของสโมสร เพื่อรับนโยบาย พบปะเหล่าสมาชิก และเป็นตัวแทนมอบช่อดอกไม้ร่วมแสดงความยินดีกับ “ทญ. เสาวนีย์ มิตตะธรรมากุล” นายกสโมสรซอนต้ากรุงเทพ 1 ผู้สนับสนุนกิจกรรมอย่างต่อเนื่องและไดัรับเข็มเชิดชูเกียรติจากสมาคมฯ โดยมี “ซอนเชี่ยนอัญชลี ตันติวงษากิจ” และ “ซอนเชี่ยนวรวรรณ ประดิษฐ์ศิลป์” ร่วมแสดงความยินดี

วันศุกร์ที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2568

อดีต สส. เชียงราย ฟังธง กวาดล้างบุหรี่ไฟฟ้า 30 วัน แก้ปัญหาไม่จบเปิดศึกวิจารณ์การใช้เงินรณรงค์ควบคุมยาสูบ

อดีต สส. เชียงราย ฟังธง กวาดล้างบุหรี่ไฟฟ้า 30 วัน แก้ปัญหาไม่จบ
เปิดศึกวิจารณ์การใช้เงินรณรงค์ควบคุมยาสูบ
“หมอเอก” อดีต สส. เชียงราย ตั้งคำถามถึงประสิทธิภาพของนโยบายจับกุมบุหรี่ไฟฟ้ารายวัน ชี้ปัญหาเกิดจากกฎหมายบังคับใช้ไม่ได้ อีกทั้งยังใช้เงินรณรงค์และทรัพยากรผิดทาง แนะควบคุมยาสูบทั้งระบบ 
นายแพทย์เอกภพ เพียรพิเศษ หรือ หมอเอก อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จ.เชียงราย และอดีตรองประธานคณะอนุกรรมาธิการ คณะกรรมาธิการการสาธารณสุข สภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 25 โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัวระบุว่า 
“ตลอดเวลาที่ผ่านมา ผมได้ยินจากผู้ที่ทำงานด้านควบคุมยาสูบของประเทศไทยในหลายเวที หลายโอกาส ชี้นิ้วไปที่หน่วยงานต่างๆ ว่า ไม่บังคับใช้กฏหมาย !!?? เราเคยตั้งคำถามกันว่า ปัญหาเกิดจาก "ไม่บังคับใช้กฏหมาย" หรือ "กฏหมายบังคับใช้ไม่ได้" ซึ่งได้มีการศึกษาของกรรมาธิการหลายวาระ รวมถึงกรรมาธิการวิสามัญบุหรี่ไฟฟ้าที่ใช้เวลาศึกษาข้อมูลอย่างรอบด้านปีกว่า พบว่าจำเป็นต้องมีการแก้ไขปรับปรุงกฏหมายที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การควบคุมบุหรี่ไฟฟ้าทำได้ดียิ่งขึ้น”
นายแพทย์เอกภพ ยังตั้งข้อสังเกตว่า กลุ่มผู้รณรงค์ควบคุมยาสูบของไทยมุ่งเน้นเพียงการ “แบน” โดยใช้ทรัพยากรจำนวนมากไปกับกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์ แต่กลับไม่มีมาตรการที่สามารถบังคับใช้ได้จริง ขณะที่นายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้มีการกวาดล้างบุหรี่ไฟฟ้าภายใน 30 วัน ซึ่งขณะนี้มีการแถลงข่าวการจับกุมบุหรี่ไฟฟ้าแทบจะรายวัน แต่สุดท้าย สุดท้ายบุหรี่ไฟฟ้าอาจยังคงมีขายเกลื่อนเมือง และยังมีการนำเข้าส่งออกจากจีนเข้ามาไทยเป็นมูลค่าหลายพันล้านบาท
นอกจากนี้ นายแพทย์เอกภพ ยังได้เดือนว่า การใช้ทรัพยากรภาครัฐไปกับการกวาดล้างบุหรี่ไฟฟ้า ทำให้ความเข้มข้นในการปราบปรามบุหรี่เถื่อนลดลง บุหรี่เถื่อนลักลอบนำเข้าราคาถูก ถูกนำมาขายในช่องทางเดียวกับบุหรี่ไฟฟ้า กลับถูกละเลยจนอาจทำให้เยาวชนเข้าถึงบุหรี่มวนมากขึ้นได้ ขณะเดียวกันยังมีประเด็นปัญหาที่ถูกมองข้าม เช่น วิธีลดจำนวนผู้สูบบุหรี่ 9-10 ล้านคนในปัจจุบัน แนวทางป้องกันเยาวชนจากการสูบบุหรี่ไฟฟ้า และมาตรการรองรับเกษตรกรผู้ปลูกยาสูบที่ต้องเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงของตลาด
“การ "ควบคุมยาสูบ" ควรต้องดำเนินการทั้งระบบ ไม่ใช่เพียงแค่สนใจแต่บุหรี่ไฟฟ้า… การรณรงค์ควบคุมยาสูบที่ใช้เงินปีละหลายร้อยล้านบาท แต่ไม่สามารถทำผลงานได้ตามเป้าหมายตัวชี้วัดที่ตั้งไว้ รวมทั้งมีปัญหาเกี่ยวกับผลประโยชน์ทับซ้อน ต้องรื้อใหม่หรือไม่”
ทั้งนี้ โพสต์ดังกล่าวถูกเผยแพร่หลังจากที่ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรมีบรรจุวาระการพิจารณารายงานของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาบุหรี่ไฟฟ้าเมื่อวันพฤหัสบดี ที่ 13 มีนาคมที่ผ่านมา


วันพุธที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2568

Code Genius เดินหน้าจัด National Scratch Competition ต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 ปลูกฝังการใช้เทคฯ แก้ปัญหา และเสริมการคิดอย่างชาญฉลาดในเด็กไทย

Code Genius เดินหน้าจัด National Scratch Competition ต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 ปลูกฝังการใช้เทคฯ แก้ปัญหา และเสริมการคิดอย่างชาญฉลาดในเด็กไทย


Code Genius เดินหน้าจัดการแข่งขัน National Scratch Competition 2024 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 มุ่งเสริมสร้างทักษะการคิดเชิงตรรกะและการแก้ปัญหาให้กับเยาวชนไทย ผ่านการเขียนโปรแกรม (Coding) และการใช้เทคโนโลยีเพื่อแก้ไขปัญหาในชีวิตจริง ตั้งแต่ระดับประถมต้นจนถึงประถมปลาย การแข่งขันในปีนี้ได้รับการสนับสนุนจาก LEARN Corporation และบริษัทในเครือ เช่น Skooldio, Edusmith, Ondemand, LSP School ร่วมกับ โฟร์โมสต์, Ralph Vitamin,Tofusan และ B2S ซึ่งมีเป้าหมายร่วมกันในการพัฒนาทักษะดิจิทัลของเยาวชนไทยให้เทียบเท่ามาตรฐานสากล


นายชนปทิน พลาพิภัทร ผู้ก่อตั้งและผู้บริหาร Code Genius กล่าวว่า “ทักษะ Coding ไม่ใช่เพียงการเรียนรู้ด้านเทคโนโลยี แต่ยังเป็นการฝึกฝนกระบวนการคิดอย่างเป็นระบบและการแก้ปัญหา ซึ่งสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง การแข่งขันนี้ถือเป็นอีกก้าวสำคัญที่ช่วยให้เด็กไทยมีความสามารถด้านเทคโนโลยีที่สามารถใช้เพื่อสร้างประโยชน์ให้กับตนเอง ชุมชน และสังคมโดยรวม” ด้านผลการแข่งขันในปีนี้ รายชื่อเยาวชนที่ได้รับรางวัลได้แก่
-ระดับประถมต้น
รางวัลชนะเลิศ : เด็กชาย ศศิวัฒน์ จิระเดชวงศ์ โรงเรียนนานาชาติไทยสิงคโปร์ (Thai-Singapore International School)
รางวัลรองชนะเลิศอันดับที่ 1 : เด็กชาย อิทธิพัทธ์ สระทองฮัก โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย และเด็กชาย นัธทวัฒน์ สุวรรณรัตนกุล โรงเรียนสาธิตจุฬา ฝ่ายประถมศึกษา
รางวัลรองชนะเลิศอันดับที่ 2 : เด็กชาย พลณัฐ ลิ้มสถิรานันท์  โรงเรียนนานาชาติสิงคโปร์กรุงเทพฯ (Singapore International School of Bangkok)
-ระดับประถมปลาย
รางวัลชนะเลิศ : เด็กหญิง วริษฎา รักธรรม โรงเรียนเซนต์โยเซฟคอนเวนต์ 
รางวัลรองชนะเลิศอันดับที่ 1 : เด็กชาย ภากร ลิมโปดม โรงเรียนนานาชาติเอกมัย (Ekamai International school)
รางวัลรองชนะเลิศอันดับที่ 2 : เด็กชาย ชัยพัชร์ ซันตู โรงเรียนสาธิตละอออุทิศลำปาง


นอกจากนี้ ภายในงานยังมีการบรรยายพิเศษจาก ดร.วิโรจน์ จิรพัฒนกุล ผู้ร่วมก่อตั้งและกรรมการผู้จัดการ Skooldio ผู้นำด้านทักษะแห่งอนาคต ให้ความรู้เรื่อง Coding ที่เครื่องมือสำคัญในการพัฒนาทักษะการคิดอย่างเป็นระบบของเด็กไทยในอนาคต และยังได้รับเกียรติจาก นายภาคภูมิ เอี่ยมจิตกุศล หัวหน้างานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัลอาวุโส จากสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (DEPA) ร่วมพิธีการประกาศผลและมอบเหรียญรางวัลให้กับผู้ชนะเลิศอีกด้วย 
Code Genius ยังคงมุ่งมั่นพัฒนาการศึกษาไทยด้วย Learning Solutions ที่ทันสมัยและเข้าถึงได้ สำหรับผู้ที่สนใจพัฒนาทักษะด้าน Coding ให้กับเยาวชน 


สามารถศึกษารายละเอียดหลักสูตรเพิ่มเติมได้ที่ www.codegeniusacademy.com หรือเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับเทคโนโลยีการศึกษาจาก LEARN Corporation ได้ที่ www.learn.co.th

วันอังคารที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2568

อ.อ.ป. - บ.พรีซีซั่น เวท และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพาะเลี้ยง ‘สเต็มเซลล์ช้างจากรก’ สำเร็จเป็นครั้งแรกในไทย เตรียมพร้อมสร้างนวัตกรรมการรักษาสุขภาพช้างด้วย ‘สเต็มเซลล์’

อ.อ.ป. - บ.พรีซีซั่น เวท และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพาะเลี้ยง ‘สเต็มเซลล์ช้างจากรก’ สำเร็จเป็นครั้งแรกในไทย เตรียมพร้อมสร้างนวัตกรรมการรักษาสุขภาพช้างด้วย ‘สเต็มเซลล์’

    วันนี้ (11 มีนาคม 2568) องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ โดย สถาบันคชบาลแห่งชาติ ในพระอุปถัมภ์ฯ และ บริษัท พรีซีซี่น เวท จำกัด , หน่วยงานสัตว์ป่า , คณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และ เพนียดคล้องช้างหลวงอยุธยา ร่วมกันแถลงข่าวถึงความสำเร็จของการเพาะเลี้ยงสเต็มเซลล์ช้างจากรก รวมถึงการใช้สเต็มเซลล์เพื่อรักษาโรคสำคัญในช้าง โดยมี ดร.น.สพ.ทวีโภค อังควานิช หัวหน้าฝ่ายอนุรักษ์ช้าง, สพ.ญ.วรางคณา ลังการ์พินธุ์ หัวหน้างานโรงพยาบาลช้างลำปาง ส.คช. , รศ.ดร.สพ.ญ.อารีย์ ทยานานุภัทร์ ประธานบริษัท พรีซีชั่นเวท จำกัด, ผศ.ดร.สพ.ญ.สุภาเพ็ญ ศรีพิบูลย์ คณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และ สพ.ญ.ลาดทองแท้ มีพันธุ์เพนียดคล้องช้างอยุธยา เป็นผู้แถลงข่าว ณ ห้องหัสดินศุภสาร อาคารกัลยาณิวัฒนาการุณย์ สถาบันคชบาลแห่งชาติ ในพระอุปถัมภ์ จังหวัดลำปาง

สำหรับความสำเร็จของการเพาะเลี้ยงสเต็มเซลล์ช้างจากรกในครั้งนี้ เกิดจากความร่วมมือจาก 4 หน่วยงานข้างต้น ที่มุ่งหวังที่จะพัฒนาแนวทางการรักษาช้างด้วยสเต็มเซลล์ โดยมีจุดเริ่มต้นจากการเก็บสเต็มเซลล์จากพลายลักษณโสภณ ช้างฝาแฝดเทียมคู่แรกของโลกที่เกิดที่ เพนียดคล้องช้างหลวงอยุธยา เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2567 และช้างพังรับอรุณ ที่เกิดที่สถาบันคชบาลแห่งชาติในพระอุปถัมภ์ฯ เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2568 ที่ผ่านมา และจากความสำเร็จฯ ในครั้งนี้ ทีมสัตวแพทย์ผู้วิจัย ได้นำสเต็มเซลล์ช้างจากรกเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในกระบวนการรักษาโรคสำคัญของช้าง จำนวนกว่า 11 เชือกในประเทศไทย อาทิ การรักษาแผลที่กระจกตาติดเชื้อในช้าง ณ คณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ซึ่งเป็นครั้งแรกที่นำสเต็มเซลล์เข้ามาฟื้นฟูอาการทางตา และการนำสเต็มเซลล์ช้างจากรกเข้ามารักษามดลูกอักเสบเรื้อรังในช้าง โดยให้สเต็มเซลล์ผ่านทางเส้นเลือด ณ ส.คช. เป็นต้น
    

ทั้งนี้ ทีมสัตวแพทย์ผู้วิจัยมุ่งหวังว่า ความสำเร็จในครั้งนี้จะเป็นก้าวสำคัญในวงการสัตวแพทย์ในการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการแพทย์ในการดูแล ตลอดจนอนุรักษ์ และบริบาลช้าง ซึ่งจะนำไปสู่การยกระดับมาตรฐานด้านสัตวแพทย์ในอนาคตต่อไป
.
#กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม-ประเทศไทย #MNRE #องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ #FIO ศูนย์อนุรักษ์ช้างไทย จ.ลำปาง The Thai Elephant Conservation Center Lampang โรงพยาบาลช้างกระบี่ Krabi Elephant Hospital โรงพยาบาลช้าง ศูนย์อนุรักษ์ช้างไทย Elephant Hospital, TECC

https://www.facebook.com/share/p/15oU99HxWg/?mibextid=wwXIfr

คนดูทะลุ 2 แสน! ย้อนรอยบอลเดินสาย 9Up Arena สุดสนุก

คนดูทะลุ 2 แสน! ย้อนรอยบอลเดินสาย 9Up Arena สุดสนุก แฟนคลับ นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด และผู้สนับสนุนหลักในเอเชียร่วมกันสนับสนุนการแข่งขันฟุตบอลเดิ...