วันพฤหัสบดีที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2568

“ปฏิรูปห้องเรียนอีสาน! ครู 10 จังหวัดรวมพลังพลิกวิธีสอน สู่ยุค Active Learning ด้วย GPAS 5 Steps”

“ปฏิรูปห้องเรียนอีสาน!
 ครู 10 จังหวัดรวมพลังพลิกวิธีสอน สู่ยุค Active Learning ด้วย GPAS 5 Steps” 
 
ในโลกที่เปลี่ยนเร็วกว่าแผนการสอน... ครูไทยต้องลุกขึ้นมาเป็น "ผู้นำการเรียนรู้" ไม่ใช่แค่ "ผู้ถ่ายทอดความรู้" และครั้งนี้ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้จุดประกายการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง เพื่อขับเคลื่อนห้องเรียนไทยให้เข้าสู่การเรียนรู้เชิงรุกอย่างแท้จริง 
  เมื่อวันที่ 26–27 กรกฎาคม 2568 ที่ผ่านมา สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ร่วมกับมหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี จัดการอบรมเชิงปฏิบัติการเพื่อพัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษาในระดับประถมศึกษา ภายใต้โครงการ “พัฒนานวัตกรรมเพื่อยกระดับคุณภาพการจัดการศึกษา ด้วยรูปแบบ Active Learning” 

  กิจกรรมจัดขึ้นพร้อมกัน 2 แห่ง ได้แก่ อาคารคณะการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ และ ห้องประชุมโรงเรียนอนุบาลบุรีรัมย์ โดยมีครูจากโรงเรียนในโครงการ “1 อำเภอ 1 โรงเรียนคุณภาพ” ในเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง รวมกว่า 260 คน จาก 10 จังหวัด ได้แก่ อุบลราชธานี, อำนาจเจริญ, ร้อยเอ็ด, ศรีสะเกษ, ยโสธร, มหาสารคาม, ชัยภูมิ, บุรีรัมย์, สุรินทร์ และนครราชสีมา เข้าร่วมอย่างคึกคัก
การอบรมที่จังหวัดบุรีรัมย์ ซึ่งมีครูจาก 9 จังหวัดร่วมเวทีรวมกว่า 120 คน โดยได้รับเกียรติจาก ดร.กัญจนา สัตตรัตนำพร ผอ.สพป.บุรีรัมย์ เขต 1 เป็นผู้กล่าวเปิดงานและผลักดันวิสัยทัศน์
 “เราไม่ได้แค่มาอบรมให้ผ่าน ๆ แต่เราต้องการให้ครูกลับไปเปลี่ยนห้องเรียนจริง ครูต้องกล้าคิดใหม่ ทำใหม่ ให้เด็กได้เรียนรู้จากการปฏิบัติ ไม่ใช่เพียงนั่งฟัง ครูต้องกลายเป็นผู้นำทางการศึกษาในยุคที่โลกหมุนเร็วเกินคาด” 
                   ที่จังหวัดสุรินทร์ มีการจัดอบรมระหว่างวันที่ 26–27 กรกฎาคม 2568 ณ อาคารคณะการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ โดยมีครูเข้าร่วมจำนวน 140 คน ซึ่งถือเป็นเวทีสำคัญในการเติมพลังความรู้ พร้อมยกระดับทักษะการจัดการเรียนรู้เชิงรุก
                     ดร.จุฬาวดี มีวันคำ รองผู้อำนวยการสำนักวิชาศึกษาทั่วไป มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี
กล่าวว่า “เรากำลังพัฒนาครูให้เป็นผู้ออกแบบการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับบริบทของห้องเรียนจริง ไม่ใช่แค่ฟังบรรยายหรือทำแผนการสอน แต่ครูจะต้องรู้วิธีคิด วิเคราะห์ สร้างนวัตกรรม และจุดไฟให้เด็ก ๆ ได้ใช้ศักยภาพเต็มที่ ผ่าน GPAS 5 Steps”
                   นางณัฐฐ์ธมล สอโส ศึกษานิเทศก์ชำนาญการพิเศษ สพป.สุรินทร์ เขต 1 ย้ำถึงความสำคัญของเวทีนี้ว่า “การอบรมที่สุรินทร์ครั้งนี้คือหมุดหมายสำคัญที่จะพาครูพัฒนาตัวเอง เพื่อให้นักเรียนได้เรียนรู้แบบลงมือจริง ฝึกคิด ฝึกทำ และได้ทักษะชีวิตที่จำเป็นในอนาคต เด็กจะไม่ได้แค่ท่องจำ แต่จะได้ทดลอง ทำงานกลุ่ม คิดแก้ปัญหา และก้าวทันเทคโนโลยีได้ด้วยตนเอง”
                นอกจากนี้ การอบรมยังได้เน้นการออกแบบกิจกรรมในห้องเรียนที่สอดรับกับโลกยุค Soft Power โดยมุ่งหวังให้นวัตกรรมการสอนของครูสามารถแปรเปลี่ยนเป็นนวัตกรรมการเรียนรู้ของนักเรียน และต่อยอดไปสู่คุณค่าทางเศรษฐกิจในชีวิตจริง การยกระดับคุณภาพการศึกษาจะเกิดขึ้นไม่ได้เลย หากไม่มีการพัฒนาครูอย่างจริงจัง โครงการนี้จึงถือเป็นต้นแบบสำคัญ ที่ช่วยเปิดพื้นที่ให้ครูได้ “ลองคิด ลองเปลี่ยน ลองสร้าง” และส่งต่อแรงบันดาลใจนั้นไปยังนักเรียนในห้องเรียน
  ในช่วงท้ายของการอบรม ครูหลายคนสะท้อนว่า การเรียนรู้ครั้งนี้ทำให้เข้าใจว่า การพัฒนาไม่ใช่แค่ "การตามนโยบาย" แต่คือ "การเลือกเปลี่ยน" ด้วยใจที่อยากให้เด็กไทยก้าวทันโลก

โครงการสร้างอุทยานหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต โดยมี พล.อ.อ.ชลิต พุกผาสุข องคมนตรี /ประธานโครงการสร้างอุทยานหลวงปู่มั่นภูริทัตโตฯ ณ วัดสัมปัตตะวนาราม (ธ) อ.เมือง จ.นครราชสีมาร่วมกับ หน่วยงานต่างๆ เช่น มูลนิธิเพื่อสังคมไทย

โครงการสร้างอุทยานหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต โดยมี พล.อ.อ.ชลิต พุกผาสุข องคมนตรี /ประธานโครงการสร้างอุทยานหลวงปู่มั่น​ภูริทัตโตฯ ​ณ วัดสัมปัตตะวนาราม (ธ)​ อ.เมือง​ จ.นครราชสีมาร่วมกับ หน่วยงานต่างๆ เช่น มูลนิธิเพื่อสังคมไทย 

สำนักงานการกีฬาแห่งประเทศไทยจังหวัดนครราชสีมา สโมสรกีฬาจักรยานจังหวัดนครราชสีมา  ฯลฯ ได้จัดงานแถลงข่าว กิจกรรม "วิ่ง ปั่น รวมใจ อุทยานหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต" ขึ้น วันที่ 30 กรกฏาคม 2568 เวลา 13.30 น. ณ บริเวณ Variety Hall  ชั้น 3 เดอะมอลล์นครราชสีมา

กิจกรรมวิ่งปั่น มีกำหนดการที่จะจัดขึ้น ณ อุทยานหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต วัดสัมปัตตะวนาราม (ธ) อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา ในวันที่ 26 ตุลาคม 2568
โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อ
ประชาสัมพันธ์โครงการก่อสร้าง และยังเป็นการระดมทุนสมทบทุนการก่อสร้างโครงการฯ อีกทั้งยังเป็นการส่งเสริมการเกิน วิ่ง และกีฬาปั่นจักรยาน เพื่อสุขภาพ และยังเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวของจังหวัดนครราชสีมา


นายกฤตชัย พยอมแย้ม ประธานคณะอนุกรรมการฝ่ายประชาสัมพันธ์  ทำการแทนประธานโครงการฯ  ให้สัมภาษณ์ว่า กิจกรรมครั้งนี้เป็นกิจกรรมส่งเสริมการมีส่วนร่วม ไม่ว่าจะอยู่ที่จังหวัดไหน สามารถมาร่วมกิจกรรม ท่านจะได้รับองค์รูป้หมือนหลวงปู่มั่นขนาด 5" เหรียญหลวงปู่มั่น เสื้อ เป็นที่ระลึก ค่าสมัครเริ่มต้น 100 บาท จนถึง 1,000 บาท แล้วแต่ประเภทที่สมัคร


ที่สนใจสามารถสมัครได้ตั้งแต่วันที่นี้ ที่เว็บไซต์ https://race.thai.run/runbike  และที่สโมสรกีฬาจักรยานจังหวัดนครราชสีมา

ติดตามข่าวสารได้ที่ เพจ"อุทยานหลวงปู่มั่น วัดสัมปัตตะวนาราม นครราชสีมา" 

หรือ ติดต่อสอบถามได้ที่ 
คุณกฤตชัย โทร 086-771-7779
คุณลิขิต โทร  092—966-2291
คุณวรินทร โทร 095-6145492

วันพุธที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2568

วช. จับมือ กทม. - สสส. - สภาลมหายใจกรุงเทพฯ และ AIT เปิดยุทธการ “ลดฝุ่นที่ปลายท่อ” ผลักดันงานวิจัยสู่ระบบคมนาคมปลอดมลพิษ

วช. จับมือ กทม. - สสส. - สภาลมหายใจกรุงเทพฯ และ AIT เปิดยุทธการ “ลดฝุ่นที่ปลายท่อ” ผลักดันงานวิจัยสู่ระบบคมนาคมปลอดมลพิษ

สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ร่วมกับ กรุงเทพมหานคร (กทม.) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) สภาลมหายใจกรุงเทพมหานคร และสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย (AIT) จัดกิจกรรม “นักสืบฝุ่น The series สงครามฝุ่นเมือง” ครั้งที่ 3 ภายใต้หัวข้อ “ลดฝุ่นที่ปลายท่อ” โดย ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสํานักงานการวิจัยแห่งชาติ เป็นประธานในพิธีเกิดกิจกรรม พร้อมด้วย นายพรพรหม วิกิตเศรษฐ์ ที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครและผู้บริหารด้านความยั่งยืนของกรุงเทพมหานคร กล่าวต้อนรับ พร้อมด้วยภาคีเครือข่าย ดร.สุพัฒน์ หวังวงศ์วัฒนา ผู้อำนวยการศูนย์รวมผู้เชี่ยวชาญด้านมลพิษอากาศและภูมิอากาศ (HTAPC) วช. รองศาสตราจารย์ ดร.เอกบดินทร์ วินิจกุล หัวหน้าภาควิชาวิศวกรรมทรัพยากรน้ำและสิ่งแวดล้อม คณะวิศวกรรมและเทคโนโลยี สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย และ Dr. Mushtaq Memon, Regional Coordinator for Resource Efficiency in Asia Pacific United Nations Environment Programme (UNEP)  ณ Town hall L ชั้น 7 True DigitalPark East


ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสํานักงานการวิจัยแห่งชาติ กล่าวถึง กิจกรรม “นักสืบฝุ่น The series สงครามฝุ่นเมือง” ครั้งที่ 3 ภายใต้หัวข้อ “ลดฝุ่นที่ปลายท่อ” จัดขึ้นเพื่อส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากผลงานวิจัยและนวัตกรรมในการแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศแบบบูรณาการ โดยมุ่งเน้นการลดไอเสียจากยานพาหนะในเขตกรุงเทพมหานคร และปริมณฑล ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีระดับฝุ่น PM2.5 สูง โดย วช. ได้สนับสนุนการพัฒนาระบบคัดกรองไอเสียรถยนต์ และรูปแบบการบริหารจัดการเพื่อลดฝุ่นอย่างเหมาะสมกับระดับมลพิษ พร้อมทั้งจัดตั้งศูนย์รวมผู้เชี่ยวชาญด้านมลพิษอากาศและภูมิอากาศ (HTAPC : Hub of Talents on Air Pollution and Climate) เพื่อเป็นกลไกสนับสนุนการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้เชิงวิชาการและเชิงนโยบาย และ วช. มุ่งหวังให้เกิดความร่วมมือทางวิชาการที่เข้มแข็ง การพัฒนานโยบายสาธารณะบนฐานข้อมูลวิทยาศาสตร์ และการยกระดับคุณภาพอากาศและสิ่งแวดล้อมเพื่อสุขภาวะที่ดีของประชาชนทุกคน

นายพรพรหม วิกิตเศรษฐ์ กล่าวถึง ปัจจุบันการใช้รถที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปเป็นแหล่งสำคัญของการปล่อยมลพิษทางอากาศในเขตเมือง โดยเฉพาะฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) และมลพิษทางอากาศอื่นๆ เช่น คาร์บอนมอนอกไซด์และไนโตรเจนออกไซด์ ซึ่งส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน รัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงได้ส่งเสริมการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้ใช้รถ ทั้งการบำรุงรักษาเครื่องยนต์อย่างสม่ำเสมอ การใช้น้ำมันเครื่องที่ลดการปล่อยมลพิษ และการสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ภายใต้นโยบายการพัฒนาประเทศด้วยยานยนต์ไฟฟ้าในระยะยาว กิจกรรมครั้งนี้ จึงมีเป้าหมายเพื่อจุดประกายความตระหนักรู้และความร่วมมือในการจัดการมลพิษจากแหล่งกำเนิดในเมือง โดยเฉพาะจากภาคคมนาคม ทั้งนี้ยังสอดรับกับเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนของสหประชาชาติ โดยมุ่งหวังให้กรุงเทพมหานครกลายเป็นมหานครปลอดมลพิษในอนาคต

ภายในงาน มีการนำเสนอเบาะแสต่าง ๆ ดังนี้
เบาะแสที่ 1 : เรื่อง “เข้าใจปัญหาฝุ่นจากปลายท่อ” โดย ดร.สุพัฒน์ หวังวงศ์วัฒนา ผู้อำนวยการศูนย์รวมผู้เชี่ยวชาญด้านมลพิษอากาศและภูมิอากาศ (HTAPC) วช.
เบาะแสที่ 2 : เรื่อง “สืบหาทางออก” โดย รองศาสตราจารย์ ดร.เอกบดินทร์ วินิจกุล หัวหน้าภาควิชาวิศวกรรมทรัพยากรน้ำและสิ่งแวดล้อม คณะวิศวกรรมและเทคโนโลยี สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย
เบาะแสที่ 3 : เรื่อง “เก็บข้อมูลจากมุมมองขององค์กรระหว่างประเทศ“ โดย Dr. Mushtaq Memon, Regional Coordinator for Resource Efficiency in Asia Pacific United Nations Environment Programme (UNEP)
และยังมีการเปิดแฟ้มคดีร่วมหาข้อสรุปแนวทางการแก้ปัญหาฝุ่นจากปลายท่อ พร้อมเสวนาในหัวข้อ “ก้าวต่อไปของกรุงเทพฯ สู่ระบบขนส่งปลอดมลพิษ” โดย ดร.สุพัฒน์ หวังวงศ์วัฒนา ผู้อำนวยการศูนย์รวมผู้เชี่ยวชาญด้านมลพิษอากาศและภูมิอากาศ  (HTAPC) วช. รองศาสตราจารย์ ดร.เอกบดินทร์ วินิจกุล หัวหน้าภาควิชาวิศวกรรมทรัพยากรน้ำและสิ่งแวดล้อม คณะวิศวกรรมและเทคโนโลยี สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย นายทศพล สุภารี รองผู้อำนวยการสำนักสิ่งแวดล้อม กรุงเทพมหานคร และนายปพนธนัย นันทชัชวาลย์กุล ที่ปรึกษาทางวิชาการ องค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของเยอรมัน (GIZ) ประจำประเทศไทย และได้ทิ้งเบาะแสเพื่อร่วมไขปัญหาในครั้งถัดไปที่เกี่ยวกับ “ฝุ่นไม่รู้จักเขตแดน” ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 17 กันยายน 2568 ณ สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ผ่านการนำองค์ความรู้ด้านงานวิจัยและนวัตกรรม ในการสร้างเมืองที่อากาศสะอาด สุขภาพดี และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมต่อไป

วันจันทร์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2568

มูลนิธิร่วมด้วยช่วยกันสำนึกรักบ้านเกิด มอบวิทยุสื่อสารให้กองทัพภาคที่ 2 รวม 100 เครื่อง

มูลนิธิร่วมด้วยช่วยกันสำนึกรักบ้านเกิด มอบวิทยุสื่อสารให้กองทัพภาคที่ 2 รวม 100 เครื่อง


วันที่ 27 ก.ค.68 เวลา 14.00 น. พล.ต.นรธิป โพยนอก รองแม่ทัพภาคที่ 2 รับมอบวิทยุสื่อสาร เพิ่มจำนวน 30 เครื่อง จากคุณจุฑามาศ เบญจรงคกุล กรรมการและเหรัญญิก มูลนิธิร่วมด้วยช่วยกันสำนึกรักบ้านเกิด เพื่อเป็นการเพิ่มขีดความสามารถและลดความเสียหายที่เกิดขึ้น
ในการแก้ไขปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งก่อนหน้านี้ได้มอบวิทยุสื่อสารดังกล่าว ให้กับกองทัพภาคที่ 2 แล้วจำนวน 70 เครื่อง รวมครั้งนี้เป็น 100 เครื่อง พร้อมกันนี้ มูลนิธิเบญจรงคกุล มอบข้าวสาร ถุงละ 5 กิโลกรัม เพิ่มอีกจำนวน 150 ถุง รวมเป็น 450 ถุง เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ทหาร ณ กองบัญชาการกองทัพภาคที่ 2 ค่ายสุรนารี อ.เมือง จ.นครราชสีมา

ปัตตานีคึกคัก เทศกาลตกปลาสุดมันส์แห่งปี! “Sport Fishing Saiburi Pattani Festival 2025”

ปัตตานีคึกคัก เทศกาลตกปลาสุดมันส์แห่งปี!  
“Sport Fishing Saiburi Pattani Festival 2025” 

จังหวัดปัตตานี โดย สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดปัตตานี ร่วมกับเทศบาลเมืองตะลุบัน และภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง ร่วมกระตุ้นการท่องเที่ยวและเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจของจังหวัด ขอเชิญนักท่องเที่ยว จัดงาน “Sport Fishing Saiburi Pattani Festival 2025” เทศกาลตกปลาสุดมันส์แห่งปี! โครงการส่งเสริมมหกรรมท่องเที่ยววิถีประสบการณ์สัมผัสมุมมองใหม่ (Pattani Experience) โดยในงานได้รับเกียรติจาก นายสนั่น สนธิเมือง รองผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานี เป็นประธานเปิดงานพร้อมด้วย นายอับดุลฮาลิม มินซาร์ นายกเทศมนตรีเมืองตะลุบัน และ นางปุณณานันท์ ทองหยู ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดปัตตานี ณ หาดวาสุกรี ต.ตะลุบัน 

 ภายในงานพบกิจกรรมมากมาย อาทิ การแข่งขันตกปลาระดับประเทศแข่งขี่ม้าสุดเร้าใจ ยิงธนูเทรดดี้ มวยไทยโชว์มันส์ กิจกรรมรังสรรค์เมนูอาหารวัตถุดิบท้องถิ่นโดย Chef Table การแสดงโชว์ควงไฟ พิธีปล่อยเรือตกปลา และอิ่มอร่อยกับอาหารท้องถิ่นกว่า 100 ร้านค้า กิจกรรมสวนสนุก การแสดงมายากลและโบโซ่ และกิจกรรมอื่นๆ พบอินฟลูเอนเซอร์ชื่อดัง ที่จะมาร่วมสนุกไปด้วยกันแบบจัดเต็ม 

 สำหรับการจัดงาน “Sport Fishing Saiburi Pattani Festival 2025” เทศกาลตกปลาสุดมันส์แห่งปี จัดขึ้นด้วยนโยบายฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมของรัฐบาลที่ได้ให้ความสำคัญกับการฟื้นฟูและสร้างเศรษฐกิจภายในประเทศ โดยเน้นให้มีการสร้างงาน สร้างอาชีพ โดยการบูรณาการหน่วยงานและ การมีส่วนร่วมของภาคประชาชน เพื่อแก้ไขปัญหาและฟื้นฟูเศรษฐกิจท้องถิ่นและชุมชน บนพื้นฐานของโอกาสและศักยภาพของท้องถิ่น รวมทั้งเสริมสร้างความเข้มแข็งให้แก่เศรษฐกิจฐานราก ประกอบกับจังหวัดปัตตานีมีต้นทุน ทางธรรมชาติ ประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรม ที่หลากหลาย สามารถรองรับและให้บริการนักท่องเที่ยวได้ตลอดทั้งปี อีกทั้ง ยังมีเครือข่ายชุมชนท่องเที่ยวที่มีความสามารถในการให้บริการภาคการท่องเที่ยว ซึ่งจะนำไปสู่การสร้างงาน สร้างอาชีพ รวมถึงการสร้างรายได้สู่ชุมชน

ติดตามรายละเอียดได้ที่ Facebook: สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดปัตตานี"    

วันเสาร์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2568

“สุดาวรรณ” แถลงความพร้อมใช้วิจัยและนวัตกรรม รับมือภัยภิบัติ พร้อมชูโครงการ “น้ำมั่นคง ไม่ท่วม ไม่แล้ง ใน 10 จังหวัด” หนุนเตรียมระบบเตือนภัย แผนป้องกันรับมือน้ำท่วมในอนาคต

1000024573

เมื่อวันที่ 26 ก.ค. นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เป็นประธานในพิธีแถลงข่าว “การรับมือภัยพิบัติ ภัยธรรมชาติ “พายุวิภา” ในมุมวิจัยและนวัตกรรม” โดยมี ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ศาสตราจารย์ ดร.นายแพทย์สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ประธานกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ศาสตราจารย์ รศ.ดร.สุจริต คูณธนกุลวงศ์ ผู้อำนวยการแผนงาน (Program Director) แผนงานเป้าหมายสำคัญตามยุทธศาสตร์ ววน. ด้านบริหารน้ำ วช. คณะผู้บริหาร นักวิจัย และสื่อมวลชน เข้าร่วม ณ ห้องประชุมจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ อาคาร วช. 1 สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.)

1000024566

นางสาวสุดาวรรณ กล่าวว่า กระทรวง อว. ได้ร่วมกับทุกภาคส่วนในพื้นที่เสี่ยงภัย สนับสนุนข้อมูลและงานวิจัยที่เป็นประโยชน์เพื่อรับมือกับสถานการณ์ภัยธรรมชาติ ภัยพิบัติ ได้แก่ 1.การพัฒนาแนวทางปฏิบัติตามแผน SOP (Standard Operating Procedure) ด้วยระบบสนับสนุนการเตือนภัยน้ำท่วม ผ่านเครื่องมือ Flood Map, Flood Pole และ Flood Mark ซึ่งสามารถสนับสนุนชุดข้อมูลเตือนภัย และเฝ้าระวัง และได้มีการกำหนดมาตรารองรับสถานการณ์น้ำท่วมที่คาดการณ์ได้อย่างเหมาะสม 2.การจัดทำฐานข้อมูลติดตามสถานการณ์ระดับน้ำรายชั่วโมงและแจ้งผ่านระบบการเตือนภัยและแนวทางการป้องกันน้ำท่วม ในเขตเมือง จังหวัดเชียงราย 3.การจัดทำสรุปสถานการณ์พายุวิภาและดำเนินการจำลองสภาพน้ำท่วมในสถานการณ์ต่างๆ จากการคาดการณ์สภาพอากาศ และ 4.การจำลองแนวโน้มดินถล่มของประเทศ ด้วยรูปแบบการจัดการภัยโดยอาศัยชุมชนเป็นฐาน 

1000024577

นางสาวสุดาวรรณ กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมา กระทรวง อว. โดย วช. ได้นำแผนงานวิจัยด้านการบริหารจัดการน้ำมาดำเนินโครงการสำคัญอย่าง “น้ำมั่นคง ไม่ท่วม ไม่แล้ง ใน 10 จังหวัด” เพื่อสนับสนุนการจัดเตรียมระบบเตือนภัยและเตรียมแผนป้องกันรับมือภาวะน้ำท่วมในอนาคต ซึ่งถือเป็นการนำองค์ความรู้และชุดข้อมูลจากงานวิจัยมาบูรณาการการทำงานกับองค์กรวิจัยชั้นนำทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงองค์การบริหารส่วนจังหวัด ในพื้นที่อย่างเข้มแข็ง เพื่อแก้ไขปัญหาเร่งด่วนจากสถานการณ์น้ำ

1000024567

1000024568

“กระทรวง อว. พร้อมด้วยสรรพกำลังและทีมหลังบ้านที่เข้มแข็งพร้อมดำเนินการตามเป้าหมายสำคัญตามยุทธศาสตร์ ววน. โดยนำเอาผลงานวิจัยและนวัตกรรม ระบบติดตามและเตือนภัยในระดับพื้นที่ สนับสนุนการทำงานของทีมจังหวัด พร้อมมุ่งมั่นพัฒนาการพยากรณ์ล่วงหน้าให้มีความแม่นยำและสามารถระบุความเสี่ยงในระดับพื้นที่ เพื่อให้หน่วยงานในพื้นที่เตรียมความพร้อม แจ้งเตือน ดูแลประชาชน ตลอดจนบูรณาการความร่วมมือในการลดความเสี่ยงและผลกระทบจากภัยพิบัติในอนาคต  เราจะเป็นหนึ่งในกำลังสำคัญให้กับหน่วยงานและประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัย เตรียมรับมือกับภัยพิบัติด้วยองค์ความรู้และข้อมูลทางวิชาการ เราจะเปลี่ยน “ข้อมูลวิจัย” เป็น “ข้อมูลช่วยชีวิต” ที่แม่นยำ เพื่อช่วยเหลือพี่น้องประชาชนได้อย่างทันท่วงที” รมว.อว. กล่าว

1000024571

ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง กล่าวถึงประกาศของกรมอุตุนิยมวิทยา พายุ “วิภา” และมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ ส่งผลให้หลายพื้นที่ของประเทศไทยเผชิญฝนตกหนักถึงหนักมาก ระหว่างวันที่ 20–24 กรกฎาคม 2568 และเกิดน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก และดินโคลนถล่ม สร้างความเสียหายอย่างกว้างขวาง แม้พายุจะเริ่มอ่อนกำลังลง แต่หลายพื้นที่ยังคงได้รับผลกระทบอย่างต่อเนื่อง วช. แสดงความห่วงใยต่อสถานการณ์ดังกล่าว พร้อมขับเคลื่อนผลงานวิจัยและนวัตกรรมเพื่อป้องกัน รับมือ ฟื้นฟู และลดผลกระทบจากภัยพิบัติทางธรรมชาติ วช. ได้สนับสนุนข้อมูลทางวิชาการ องค์ความรู้ และเทคโนโลยีเพื่อการเตรียมความพร้อมรับมือพายุวิภาในทุกมิติ รวมถึงประเมินความเสี่ยงระดับพื้นที่และถ่ายทอดสู่การใช้ประโยชน์เชิงปฏิบัติ โดยอาศัยความร่วมมือจากเครือข่ายวิจัยทั้งส่วนกลางและภูมิภาค ทั้งนี้ วช. มุ่งหวังให้การประยุกต์ใช้งานวิจัยในพื้นที่จริงเป็นบทเรียนสำคัญในการยกระดับองค์ความรู้ สู่การแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบและยั่งยืน

1000024570

1000024572

นอกจากนี้ อว. ยังได้ส่งมอบนวัตกรรมช่วยบรรเทาและฟื้นฟูพื้นที่ประสบอุทกภัยในพื้นที่ภาคเหนือ ได้แก่ 

- เทคโนโลยีโดรน มอบให้แก่ ศูนย์การจัดการภัยพิบัติเพื่อนพึ่ง(ภาฯ) ตำบลเจดีย์ชัย อำกอปัว จังหวัดน่าน เพื่อช่วยเหลือเมื่อเกิดภัยพิบัติ ส่งอาหารและเวชภัณฑ์ให้ผู้ประสบภัยเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็วมากยิ่งขึ้น ใช้บินสำรวจเส้นทาง ไหลของน้ำ และสำรวจหาผู้ประสบภัยที่ติดอยู่ในพื้นที่ 

- SANSO KUN (ซังโซะคุง) นวัตกรรมออกซิเจนความเข้มข้นสูงอัดกระป๋อง มอบให้แก่ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เพื่อให้สามารถพกพาและ

ใช้สำหรับช่วยเหลือและเคลื่อนย้ายผู้สูงอายุและกลุ่มเปราะบางที่เดินทางไปโรงพยาบาลลำบาก 

1000024579

- Agent29: คอปเปอร์นาโนรูปเข็ม มอบให้แก่ นายอำเภอเวียงสา และ นายอำเภอบ่อเกลือ จังหวัดน่าน เพื่อการป้องกันเชื้อราในอาคาร พรม ไม้ ผนังปูน หลังสถานการณ์น้ำลด ช่วยให้การฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิตประชาชนกลับมาเป็นปกติได้รวดเร็วยิ่งขึ้น

- ผลิตภัณฑ์เคลียร์ซอยด์ เคลียร์ซอยด์ มอบให้แก่ เครือข่ายหมอดินอาสา ตำบลเวียงสา อำเภอเวียงสา จังหวัดหวัดน่าน และเครือข่ายหมอดินอาสา บำนน้ำครกใหม่ ตำบลกอกองควาย อำเภอเมืองน่าน จังหวัดน่าน เพื่อเป็นผลิตภัณฑ์ที่ช่วยลดปริมาณโลหะหนักในดินหลังน้ำท่วม ได้แก่ สารหนู (As) แคดเมียม (Cd) และตะกั่ว (Pb) ซึ่งโลหะหนักเหล่านี้มักถูกพัดพามากับตะกอนดิน และสะสมในแปลงปลูกพืช การใช้ผลิตภัณฑ์เคลียร์ซอยด์จะช่วยลดปริมาณสารพิษตกค้าง ได้ภายใน 1 เดือน

- ถุงยังชีพและที่นอนยางพารา มอบให้แก่ อว. ส่วนหน้าเพื่อส่งมอบให้แก่ผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่ภาคเหนือ

1000024574

ภายในงาน ยังมีการเสวนา เรื่อง “การรับมือภัยพิบัติ ภัยธรรมชาติ “พายุวิภา” ในมุมวิจัยและนวัตกรรม” ซึ่งดำเนินรายการเสวนา โดย รองศาสตราจารย์ ดร.สุจริต คูณธนกุลวงศ์ ผู้อำนวยการแผนงาน (Program Director) แผนงานเป้าหมายสำคัญตามยุทธศาสตร์ ววน. วช. และผู้ร่วมเสวนาในหัวข้อต่าง ๆ ดังนี้

เรื่อง : พร้อมหรือยัง? กับการทำนายพายุหลัง "วิภา" โดย นายสมควร ต้นจาน จากกรมอุตุนิยมวิทยา

เรื่อง : ระบบเตือนภัยที่เราเตรียมไว้ใช้ได้ผลหรือไม่? บทเรียนที่ได้ โดย รองศาสตราจารย์ ชูโชค อายุพงศ์ จากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่

1000024575

เรื่อง : สถานการณ์น้ำฝน และน้ำท่า ระบบเตือนภัยช่วยอย่างไร? โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อังกูร ว่องตระกูล จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา

เรื่อง : การประเมินความเสียหายและเตรียมพร้อมสำหรับพายุลูกต่อไปได้อย่างไร? โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร พงษ์ศักดิ์ สุทธินนท์ และ

1000024576

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นายสัตวแพทย์ ดร.วินัย แก้วละมุล จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

เรื่อง : ภาวะฝนแบบนี้ จะมีดินถล่มหรือไม่ จะเตือนภัยอย่างไร? โดย รองศาสตราจารย์ ดร.สุทธิศักดิ์ ศรลัมพ์ จากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

เรื่อง : คลังข้อมูลน้ำแห่งชาติช่วยการเตือนภัยได้อย่างไร? โดย ดร.ศรเทพ วรรณรัตน์ จากสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน)

1000024577

ทั้งนี้ การแถลงข่าวและเสวนาการรับมือภัยพิบัติ ภัยธรรมชาติ "พายุวิภา" ในมุมวิจัย และนวัตกรรมในครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อเน้นย้ำการรับมือภัยพิบัติในยุคปัจจุบันต้องอาศัยความรู้ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมอย่างเป็นระบบ และให้ความสำคัญกับการนำผลงานวิจัยมาใช้จริงเพื่อประโยชน์ของประชาชนอย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืน

วันพุธที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2568

ชัยภูมิเร่งสร้างครูต้นแบบ จุดประกายนวัตกรไทย ด้วย Active Learning และ GPAS 5 Steps "ถ้าเด็กคืออนาคตของชาติ…ครูคือผู้เขียนพิมพ์เขียวของวันพรุ่งนี้"

 ชัยภูมิเร่งสร้างครูต้นแบบ จุดประกายนวัตกรไทย ด้วย Active Learning และ GPAS 5 Steps

 "ถ้าเด็กคืออนาคตของชาติ…ครูคือผู้เขียนพิมพ์เขียวของวันพรุ่งนี้"



  ณ วันนี้ การศึกษาขั้นพื้นฐานไทย กำลังเผชิญโจทย์ใหม่ที่ท้าทายยิ่งกว่าเดิม ไม่ใช่เพียงการสอนให้จำหรือทำข้อสอบได้ แต่คือการปลุกศักยภาพภายในของผู้เรียนให้ลุกขึ้น "คิดเป็น ทำเป็น สร้างเป็น" อย่างแท้จริง  นั่นคือเหตุผลที่ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ขับเคลื่อนโครงการ 1 อำเภอ 1 โรงเรียนคุณภาพ ด้วยหัวใจหลักคือ “Active Learning + GPAS 5 Steps” – กลไกการเรียนรู้ที่ออกแบบเพื่อปฏิรูปห้องเรียนไทย และคืนชีวิตให้กับการศึกษา

          เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2568 จังหวัดชัยภูมิได้ลุกขึ้นเป็นหนึ่งในเวทีทดลองสำคัญ ด้วยการจัดอบรมเชิงปฏิบัติการแก่ครูระดับประถมศึกษา กว่า 295 คน จาก 2 เขตพื้นที่ โดยสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชัยภูมิ เขต 1 (เมืองชัยภูมิ) นำโดย นายวิษณุ ฉลองขวัญ จัดเวิร์กชอปพัฒนานวัตกรรมการเรียนการสอนแก่ครู 145 คน


          สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชัยภูมิ เขต 3 (อำเภอจัตุรัส) จัดอบรมที่โรงเรียนจัตุรัสวิทยานุกูล ครูอีก 150 คนเข้าร่วม โดยมี นายนิวัฒน์ แก้วเพชร เป็นประธานในพิธี

หัวใจของกิจกรรมคือการจุดประกายให้ครูรู้จักออกแบบการเรียนรู้ด้วยระบบ Active Learning และกระบวนการ GPAS 5 Steps ซึ่งประกอบด้วย:

1. กำหนดเป้าหมายการเรียนรู้

2. วิเคราะห์ภาระงาน

3. ออกแบบภาระงานและกิจกรรม

4. ดำเนินการจัดการเรียนรู้

5. สะท้อนผลและประเมินอย่างต่อเนื่อง

         เสียงจากคนในแวดวงการศึกษา: ทุกคนต้องลุกขึ้นมาเปลี่ยน  รศ.ดร.ณัฏฐนันธ์ สุวรรณวงก์ จากมหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์ ย้ำว่า “นวัตกรรมทางการศึกษาไม่ใช่เพียงเทคโนโลยี แต่คือกระบวนการที่นำผู้เรียนสู่ความเข้าใจในตนเอง สู่การเป็นผู้เปลี่ยนแปลงสังคมในอนาคต เราต้องมองเด็กเป็น ‘นวัตกร’ ไม่ใช่แค่ผู้รับความรู้”

          ดร.เกษร ทองแสง ผู้ทรงคุณวุฒิ สพฐ. เสริมว่า “เมื่อครูเข้าใจและลงมือจัดการเรียนรู้แบบ GPAS 5 Steps ได้จริง จะเกิดผลลัพธ์ชัดเจน ผู้เรียนจะรู้จักคิด วิเคราะห์ ลงมือทำ และต่อยอดไปสู่การใช้ชีวิตและอาชีพในอนาคต”

         นายจิระพงษ์ บุญเสนา ผู้อำนวยการโรงเรียนชุมชนหนองบัวแดง มองว่า “การเปลี่ยนแปลงต้องเกิดพร้อมกันทั้งในห้องเรียน และในใจของครูและผู้ปกครอง เราต้องสร้างความเข้าใจว่าเด็กวันนี้ไม่ได้เรียนเพื่อจำ แต่เรียนเพื่อสร้างอนาคต”

         การจัดอบรมในชัยภูมิครั้งนี้ ไม่ใช่แค่กิจกรรมเชิงสัญลักษณ์ แต่คือจุดเริ่มของการปฏิวัติห้องเรียนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง – จาก อุบลราชธานี, อำนาจเจริญ, ยโสธร ไปจนถึง ชัยภูมิ, บุรีรัมย์, นครราชสีมา และอีกหลายจังหวัด ที่ร่วมโครงการ 1 อำเภอ 1 โรงเรียนคุณภาพ

นี่คือการ “เปลี่ยนครู” เพื่อ “เปลี่ยนเด็ก” และ “เปลี่ยนอนาคตประเทศ”


          คิดใหม่ ลงมือใหม่ เปลี่ยนอนาคตใหม่ในโลกที่เทคโนโลยีเปลี่ยนทุกวัน หากห้องเรียนยังคงเดิม เด็กไทยจะเดินไปข้างหน้าอย่างไร? โครงการนี้ไม่ใช่แค่การอบรมครู แต่คือการสร้างวัฒนธรรมใหม่ทางการศึกษา ที่ให้คุณค่ากับความคิด ความสร้างสรรค์ และการลงมือทำเพราะเด็กไทยไม่ใช่เครื่องมือวัดผล แต่คือผู้สร้างผลลัพธ์ให้สังคม และครูไทย…ก็คือผู้จุดประกายสิ่งนั้น

            หากคุณเป็นครู นักเรียน หรือผู้ปกครอง – ลองถามตัวเองวันนี้ว่า...คุณกำลังสร้าง “นวัตกรแห่งอนาคต” หรือกำลังวนเวียนอยู่กับ “ระบบเดิมที่ไม่ตอบโจทย์”? การเปลี่ยนแปลงอาจไม่ง่าย...แต่มันเริ่มได้จากห้องเรียนของคุณเอง



เตรียมพิสูจน์ “คำสาปเสื้อกันฝน - HAUNTED MOUNTAINS THE YELLOW TABOO” ภาพยนตร์ระทึกขวัญ-เหนือธรรมชาติจากไต้หวัน 28 สิงหาคมนี้

 เตรียมพิสูจน์ “คำสาปเสื้อกันฝน - HAUNTED MOUNTAINS THE YELLOW TABOO” ภาพยนตร์ระทึกขวัญ-เหนือธรรมชาติจากไต้หวัน 28 สิงหาคมนี้

เตรียมพบกับภาพยนตร์ระทึกขวัญ-เหนือธรรมชาติจากไต้หวันโดยผู้กำกับฯ เจี่ยหยิงไช่ เรื่องราวของ ”เจียหมิง“ ชายหนุ่มผู้พบว่าตนเองติดกับดักวนลูปที่ต้องเห็น ”อวี้ซิน“ แฟนสาวตายต่อหน้าต่อตาซ้ำแล้วซ้ำเล่า แม้ว่าเขาจะพยายามแก้ไข แต่ทุกครั้งที่เริ่มลูปใหม่มันก็ไม่เคยสำเร็จ จนกระทั่งเขาพบว่ามันเกิดจากอาถรรพณ์เมื่อ 5 ปีก่อน ที่พวกเขาทั้งคู่ได้สูญเสีย ”อันเหว่ย“ เพื่อนสนิทจากทริปเดินป่าและทุกครั้งในลูป เจียหมิงจะเห็น อันเหว่ย ปรากฏตัวอยู่ในชุดเสื้อคลุมกันฝนสีเหลืองก่อนที่แฟนสาวของเขาจะจบชีวิตลงทุกครั้ง เพื่อปกป้องชีวิตของอวี้ซิน เจียหมิงจึงต้องทำทุกวิถีทางโดยเฉพาะการหาต้นตอของคำสาปจากพิธีกรรมลึกลับที่พวกเขาต้องฝ่าฝืนข้ามเส้นสีเหลืองเข้าไปพบเห็นและขัดขวางพิธีกรรมบนภูเขามรณะแห่งนี้



พิสูจน์ความตื่นเต้น-ระทึกขวัญของ “Haunted Mountains The Yellow Taboo - คำสาปเสื้อกันฝน” โดย THAM STUDIO 19 



28 สิงหาคมนี้ในโรงภาพยนตร์เท่านั้น!!!

วันอังคารที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2568

วช. จับมือ กทม. สสส. สภาลมหายใจกรุงเทพฯ และ มก. ร่วมตอบคำถาม “ฝุ่นกรุงเทพฯ มาจากไหน” ภายใต้กิจกรรม “นักสืบฝุ่น The series”

วช. จับมือ กทม. สสส. สภาลมหายใจกรุงเทพฯ และ มก. ร่วมตอบคำถาม “ฝุ่นกรุงเทพฯ มาจากไหน” ภายใต้กิจกรรม  “นักสืบฝุ่น The series” 

วันที่ 21 กรกฎาคม 2568 สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ร่วมกับ กรุงเทพมหานคร, สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.), สภาลมหายใจกรุงเทพมหานคร และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จัดกิจกรรม “นักสืบฝุ่น The series สงครามฝุ่นเมือง” ครั้งที่ 2 ภายใต้หัวข้อ “ฝุ่นกรุงเทพฯ มาจากไหน” โดย ดร.ดำรงค์ ศรีพระราม รักษาการแทนอธิการบดีมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวเปิดงาน พร้อมนี้ ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ กล่าวถึงประเด็นเรื่อง “การค้นหาแหล่งที่มาของวิกฤตฝุ่นใน กทม. และแนวทางความร่วมมือด้านวิชาการ”, รศ.ดร.ตุลวิทย์ สถาปนจารุ คณบดีคณะสิ่งแวดล้อม กล่าวรายงาน และ รศ. ดร.สุรัตน์ บัวเลิศ หัวหน้ากลุ่มวิจัยวิทยาศาสตร์บรรยากาศ คณะสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวเปิดประเด็นเรื่อง “DNA ฝุ่นเมือง”  ณ ห้องประชุมรวงข้าว อาคารวชิรานุสรณ์ คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

ดร.ดำรงค์ ศรีพระราม รักษาการแทนอธิการบดีมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวว่า กิจกรรม “นักสืบฝุ่น” ในครั้งที่ 2 นี้  ถือเป็นโอกาสสำคัญที่แต่ละหน่วยงานในภาคีเครือข่ายได้มาร่วมกันแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และบูรณาการความรู้เพื่อใช้ในการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5 ที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อสุขภาพของประชาชนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งสิ่งสำคัญที่จะช่วยในแก้ไขปัญหาคือ การมีฐานข้อมูลเชิงวิชาการและงานวิจัยที่น่าเชื่อถือรองรับ เพื่อให้สามารถระบุแหล่งที่มาและกลไกการเกิดฝุ่นได้อย่างถูกต้อง ซึ่งองค์ความรู้ที่ได้จะเป็นประโยชน์ต่อการกำหนดนโยบายและมาตรการในการป้องกันและลดผลกระทบจากฝุ่นในระดับประเทศต่อไป

ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ กล่าวว่า วช. ในฐานะหน่วยงานหลักในการบริหารจัดการทุนวิจัยและนวัตกรรม ได้ให้ความสำคัญต่อการแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศและฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 มาอย่างต่อเนื่อง และส่งเสริมให้เกิดเครือข่ายนักวิจัยและหน่วยงานที่มีความเชี่ยวชาญภายใต้ “ศูนย์รวมผู้เชี่ยวชาญด้านมลพิษอากาศและภูมิอากาศ (HTAPC: Hub of Talents on Pollution and Climate) ตลอดจน วช. ได้ให้การสนับสนุนทุนวิจัยและนวัตกรรมเกี่ยวกับ “การหาแหล่งกำเนิดและที่มาของฝุ่นละออง PM2.5” ครอบคลุมใน 3 ภูมิภาคหลัก ได้แก่ ภาคกลางและปริมณฑล ภาคเหนือ และภาคใต้ ซึ่งผลงานวิจัยเหล่านี้ถือเป็นรากฐานสำคัญในการพัฒนาแนวทางการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5 ที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้จริงในระดับพื้นที่ ทั้งยังช่วยส่งเสริมการบูรณาการองค์ความรู้จากภาควิชาการสู่การกำหนดนโยบายสาธารณะ พร้อมทั้งเปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนแนวทางการจัดการฝุ่นอย่างยั่งยืน เพื่อยกระดับคุณภาพอากาศ คุณภาพชีวิต และสุขภาวะของประชาชน

รศ. ดร.สุรัตน์ บัวเลิศ หัวหน้ากลุ่มวิจัยวิทยาศาสตร์บรรยากาศ กล่าวถึงสาเหตุสำคัญของการเกิดฝุ่นละอองในเขตกรุงเทพฯ ไม่ว่าจะเป็นการจราจรที่หนาแน่น การเผาในที่โล่ง รวมถึงฝุ่นทุติยภูมิ ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพอากาศและเป็นอันตรายต่อสุขภาพของประชาชน ทั้งนี้ ยังพบว่าฝุ่นละอองบางส่วนมีการพัดพาจากระยะไกล และมีความเข้มข้นของฝุ่นสูง โดยเฉพาะในช่วงที่มีลักษณะทางอุตุนิยมวิทยาเอื้อต่อการสะสมตัวของฝุ่น ปัจจัยด้านอุณหภูมิและความชื้น ล้วนเป็นตัวแปรที่ส่งผลให้ฝุ่นละอองไม่สามารถลอยตัวและกระจายออกจากพื้นที่ ส่งผลให้ระดับความเข้มข้นของฝุ่นในบรรยากาศเพิ่มสูงขึ้น

นอกจากนี้ ภายในงานยังมีการเสวนาเปิดคดีอาชญากรรมสิ่งแวดล้อม ในหัวข้อ “ภัยคุกคามฝุ่นเมือง PM2.5 ตัวการร้ายทำลายสุขภาพและสิ่งแวดล้อม” โดย ดร.ลภัสรดา เสาหะสกุล สำนักงานสิ่งแวดล้อม กรุงเทพมหานคร สะท้อนปัญหาสถานการณ์ฝุ่น PM2.5 ในพื้นที่กรุงเทพฯ และกิจกรรมเสวนาแสวงหาพยานหลักฐาน โดย ผศ. ดร.ธัญภัสสร์ ทองเย็น คณะสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, ดร.รัฐพร แสนเมืองชิน ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ, ดร.ศุภชัย อาวิพันธุ์ สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ ดำเนินรายการโดย รศ. ดร.สุรัตน์ บัวเลิศ หัวหน้ากลุ่มวิจัยวิทยาศาสตร์บรรยากาศ และนายพรพรหม ณ.ส. วิกิตเศรษฐ์ ที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการ กรุงเทพมหานคร ได้ทิ้งเบาะแสสำคัญในการไขคดีอาชกรรมสิ่งแวดล้อมด้วยการเชิญชวนนักวิชาการและทุกภาคส่วนร่วมกันเปลี่ยน “Data” เป็น “Action” การเสวนาดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อร่วมกันวิเคราะห์แหล่งกำเนิดและลักษณะสถานการณ์ของฝุ่นละออง PM2.5 ในประเทศไทย ตลอดจนเสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาด้วยการนำองค์ความรู้ด้านงานวิจัยและนวัตกรรมมาใช้ในการกำหนดมาตรการเชิงนโยบายและสนับสนุนการแก้ปัญหาสถานการณ์ฝุ่นของกรุงเทพมหานครอย่างยั่งยืน

วันจันทร์ที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2568

“สุดาวรรณ” รมว.อว. ปลูกป่าเฉลิมพระเกียรติ 5,000 ต้น เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันพระราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 28 กรกฎาคม 2568 ดันงานวิจัยกล้าไม้เชื้อเห็ดไมคอร์ไรซา สร้างอาชีพ สร้างรายได้สู่ชุมชน

“สุดาวรรณ” รมว.อว. ปลูกป่าเฉลิมพระเกียรติ 5,000 ต้น เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันพระราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 28 กรกฎาคม 2568 ดันงานวิจัยกล้าไม้เชื้อเห็ดไมคอร์ไรซา สร้างอาชีพ สร้างรายได้สู่ชุมชน



เมื่อวันที่ 20 ก.ค. นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรม เป็นประธานในพิธีเปิดกิจกรรมปลูกป่าเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันพระราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหา วชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว วันที่ 28 กรกฎาคม 2568 โดยมี นายชัยวัฒน์ ชื่นโกสุม ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา กล่าวต้อนรับ ประธานมูลนิธิผืนป่าในใจเรา กล่าวรายงาน ศ.ดร.ศุภชัย ปทุมนากุล ปลัดกระทรวง อว. และประธานคณะกรรมการสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย กล่าวภารกิจของกระทรวง อว. เกี่ยวกับการดูแลรักษาป่าไม้ และมี ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ ดร.วีรชัย อาจหาญ ผู้ว่าการสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย คณะกรรมการคณะกรรมการสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย นางยลดา หวังศุภกิจโกศล นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดโคราช และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ได้แก่ นายนิกร โสมกลาง นายอาทิตย์ หวังศุภกิจโกศล นายอภิชา เลิศพชรกมล นายนรเสฎฐ์ ศิริโรจนกุล และนายรชตะ ด่านกุล ตลอดจนประชาชน เข้าร่วม ณ พื้นที่ป่าสาธารณะประโยชน์ บ้านหนองนกเขียน หมู่ที่ 10 ในพื้นที่สงวนชีวมณฑลสะแกราช ต.ภูหลวง อ.ปักธงชัย จ.นครราชสีมา


นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล กล่าวว่า การปลูกป่าครั้งนี้ เป็นการใช้กล้าไม้ผสมเชื้อเห็ดไมคอร์ไรซา ซึ่งเกาะอยู่ที่รากกล้าไม้ เมื่อต้นไม้เจริญเติบโตขึ้นจะมีเห็ดกินได้เจริญเติบโตออกมาจากรากกล้าไม้ ได้แก่ เห็ดตะไคล เห็ดระโงก และเห็ดตับเต่า ซึ่งเป็นองค์ความรู้ที่ได้จากผลงานวิจัยที่นักวิจัยของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โดยได้รับงบประมาณสนับสนุนการวิจัยอย่างต่อเนื่องจากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ และมีการถ่ายทอดองค์ความรู้มายังหน่วยงานต่าง ๆ ในพื้นที่ เช่น สถานีวิจัยสิ่งแวดล้อมสะแกราช ศูนย์เพาะชำกล้าไม้ นครราชสีมา และศูนย์วนวัฒนวิจัยที่ 6 (นครราชสีมา) กรมป่าไม้ คณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ รวมทั้งมูลนิธิผืนป่าในใจเรา เป็นตัวอย่างของการบูรณาการที่นำเอาผลการวิจัยมาต่อยอดให้เกิดผลกระทบเชิงบวกต่อเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมของประเทศ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงพลังความร่วมมือของทุกภาคส่วนในการนำองค์ความรู้จากงานวิจัย ไปสู่การใช้ประโยชน์ในระดับพื้นที่อย่างเป็นรูปธรรม ในพื้นที่สงวนชีวมณฑลสะแกราช 1 ใน 3 มรดกโลก ของจังหวัดนครราชสีมา 

นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล กล่าวต่อว่า ขอขอบคุณสถานีวิจัยสิ่งแวดล้อมสะแกราช ศูนย์วนวัฒนวิจัยที่ 6 (นครราชสีมา) และสถานีวิจัยและฝึกนิสิตวนศาสตร์วังน้ำเขียว ที่ได้ถ่ายทอดองค์ความรู้และเทคโนโลยีจากผลงานวิจัยนี้ และได้นำไปขยายผลสู่การอบรม การผลิตกล้าไม้และเชื้อเห็ดไมคอร์ไรซาในระดับชุมชน ถือเป็นการนำเทคโนโลยีที่เหมาะสมไปสู่การใช้จริงที่สามารถผลิตได้ด้วยอุปกรณ์ในครัวเรือน และเกิดประโยชน์ทั้งด้านอาชีพ รายได้ การเพิ่มพื้นที่สีเขียว และการฟื้นฟูระบบนิเวศ การดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งทำให้เกิดภาวะโลกร้อน และขอขอบคุณทุกภาคส่วนที่ให้ความร่วมมือกันอย่างดียิ่ง ที่ให้เกิดความร่วมมือกันอย่างแข็งขันจนงานวันนี้สำเร็จไปด้วยดี การดำเนินงานในครั้งนี้ยังได้รับการสนับสนุนและประสานงานจากหลายภาคส่วน และต้องขอขอบคุณอย่างยิ่งที่มูลนิธิผืนป่าในใจเรา ที่เล็งเห็นถึงศักยภาพขององค์ความรู้ดังกล่าว และร่วมมือในการจัดอบรมให้กับเยาวชนและประชาชนกว่า 70 คน รวมถึงการขยายผลสู่กิจกรรมปลูกป่าในวันนี้ ด้วยกล้าไม้ที่ผสมเชื้อเห็ดไมคอร์ไรซา จำนวน 5,000 ต้น 

“นี่คือภาพสะท้อนของการขับเคลื่อนโมเดลเศรษฐกิจ BCG (Bio-Circular-Green Economy) ที่กระทรวง อว. ให้ความสำคัญ โดยการนำงานวิจัยและนวัตกรรมมาสร้างคุณค่าทางเศรษฐกิจ พร้อมกับอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน” นางสาวสุดาวรรณ กล่าว

ในการนี้ สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) นำโดย ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสํานักงานการวิจัยแห่งชาติ พร้อมด้วยนางสาวเสาวนีย์ มุ่งสุจริตการ คณะผู้บริหาร วช. และบุคลากร วช. ร่วมปลูกป่าด้วยกล้าไม้ผสมเชื้อเห็ดไมคอร์ไรซา ซึ่งได้รับการสนับสนุนทุนวิจัยจาก วช. อีกด้วย

คนดูทะลุ 2 แสน! ย้อนรอยบอลเดินสาย 9Up Arena สุดสนุก

คนดูทะลุ 2 แสน! ย้อนรอยบอลเดินสาย 9Up Arena สุดสนุก แฟนคลับ นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด และผู้สนับสนุนหลักในเอเชียร่วมกันสนับสนุนการแข่งขันฟุตบอลเดิ...