วันเสาร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2568

ชมธรรมชาติสวยๆ กินเที่ยวแบบสโลว์ไลฟ์ที่ “หัวหิน” ไปกับ “มาวิน-เชฟบุช” ใน “เที่ยวฟินกินฉ่ำ” วันอาทิตย์นี้ ทางไทยรัฐทีวี

ชมธรรมชาติสวยๆ กินเที่ยวแบบสโลว์ไลฟ์ที่ “หัวหิน” ไปกับ “มาวิน-เชฟบุช” ใน “เที่ยวฟินกินฉ่ำ” วันอาทิตย์นี้ ทางไทยรัฐทีวี
สัปดาห์นี้ 2 พิธีกรหนุ่มคู่หู “มาวิน ทวีผล” และ “บุช เลอชาญ” จะพาไปกินไปเที่ยวทะเลแถบภาคตะวันตก ที่ “หัวหิน“ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เมืองที่สุดแสนสงบ ธรรมชาติสวยงาม นอนฟังเสียงคลื่น และกินอาหารทะเล อร่อยๆ ตาม 2 หนุ่มไป ”เที่ยวฟินกินฉ่ำ“ กันเลย
 
เริ่มกินกันแบบคนถิ่นด้วยอาหารเช้าที่เลือกกินได้หลากหลายเมนูที่ร้าน “เจ๊กเปี๊ยะ” ร้านเก่าแก่ในตำนาน เปิดมานานกว่า 75 ปี  มีหลากหลายเมนูให้เลือกทาน ทั้ง โจ๊ก ต้มเลือดหมู ข้าวต้ม ข้าวมันไก่ ข้าวหมูกรอบ ที่พลาดไม่ได้คือ ข้าวต้มหอยเชลล์ หอยสดๆ ตัวกำลังดี น้ำซุปอร่อย เข้ากันได้ดีกับน้ำจิ้มเต้าเจี้ยว 

อีกหนึ่งพิกัดที่นักท่องเที่ยวชอบมา ก็คือ ตลาดฉัตรไชย ตลาดเช้าหัวหิน มีทั้งของคาวของหวาน หนึ่งในนั้นคือร้าน “แม่สุนาข้าวเหนียวมูน” เจ้าอร่อยซ่อนตัวอยู่ในตลาดตอนเช้า ขายมาตั้งแต่สาวๆ มีหลายหน้าให้เลือก ทั้งหน้ากุ้ง สังขยา และขนมหากินยากอย่างกลอย กระฉีกจาวตาล ขายห่อละ 20 บาท ไปต่อที่ร้าน “นำชัยเกี๊ยวปลา” จานเด็ดคือ เกี๊ยวปลาที่ทางร้านทำเองจากเนื้อปลาอินทรีล้วนๆ ลูกชิ้นปลา ลูกชิ้นกุ้ง เส้นปลา ฮือก๊วย ก็ทำกันเองเช่นกัน สั่งได้ทั้ง เย็นตาโฟ ต้มยำ น้ำใส และทีเด็ดที่ 2 หนุ่ม ต้องขอเพิ่มก็คือ กากหมู 

มาถึงหัวหินต้องลองเมนูดัง สับปะรดทอด ที่ร้าน “กล้วยทอดป้าเจ้ หัวหิน”  กล้วยทอดในตำนานของชาวหัวหินกว่า 60 ปี สับปะรดหั่นแว่นทอดกรอบไม่อมน้ำมัน หวานฉ่ำเคี้ยวเพลินสุด นอกจากนี้ยังมี เผือก มัน กล้วย ขนมเข่งทอด ไข่เต่า ข้าวเม่า บอกเลยว่าดีไปหมด ไปกันต่อทึ่ร้าน “น้องเจเจ” อาหารไทยพื้นบ้าน ร้านนี้คนถิ่นแนะนำ เพราะเป็นร้านอาหารที่นำเอาอาหารทะเลสดมารวมกับอาหารไทยพื้นบ้าน รสชาติถึงเครื่อง จัดจ้านมาก ที่สำคัญราคาไม่แรง 

อาหารทะเลยังไม่จบแค่นี้ไปต่อกันที่  “ร้านอาหารทะเลฟ้ามุ่ย” ร้านลับพื้นบ้านสไตล์หัวหิน ที่เค้ามีคอนเซปต์ว่า ซีฟู้ดพื้นถิ่นลองกินจะติดใจ ร้านเล็กบรรยากาศดี ราคาไม่แพง ใกล้สะพานปลาหัวหิน เมนูเด็ดของร้านนี้คือ “แกงส้มพริกนก” คือ น้ำแกงส้มที่ทำมาจากพริกขี้หนูสวน หอมแดง กะปิ ปรุงรสด้วยมะขาม เกลือ ใส่ใบกะเพรา เขาบอกว่าเป็นเมนูเฉพาะถิ่นของหัวหินที่หากินได้ที่นี่ รสชาติจัดจ้าน อร่อยสมคำร่ำลือ 

มาเมืองหัวหินถิ่นมีหอยทั้งที ต้องมีร้านหอยเด็ดๆ มาแนะนำกันกับ “เจ๊เบียร์หอยเสียบมะละกอ” ร้านนี้มีทั้ง หอยเสียบ หอยหลอด หอยแมงภู่ ปลาริวกิว ปลาวง ปลาหมึก ราคาเริ่มต้นเพียงไม้ละ 10 บาท เป็นอาหารสตรีทฟู้ดที่ถูก 2 หนุ่มสุดๆ 

ตาม 2 หนุ่ม ไปหาวัตถุดิบที่ฟาร์มเห็ด กับกิจกรรมเก็บเห็ด ที่ “ฟาร์มเห็ดซีเอ็น” ก่อนที่จะมาชม ”เชฟบุช“ และ “มาวิน” ผู้ช่วยสุดจี๊ด ทำอาหารเมนูที่เต็มไปด้วยสารอาหาร ทำง่าย พร้อมวัตถุดิบที่หาได้ทั่วไป แต่จะเป็นเมนูอะไรนั้น ต้องรอติดตามใน “เที่ยวฟินกินฉ่ำ” วันอาทิตย์ ที่ 31 สิงหาคม 2568 เวลา 12.45 - 13.45 น. ทางไทยรัฐทีวี ช่อง 32 และสามารถรับชมย้อนหลังได้ที่ YouTube : Thairath Variety ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Facebook & Tiktok : เที่ยวฟินกินฉ่ำ
#เที่ยวฟินกินฉ่ำ #กินฉ่ำๆกับมาวินเที่ยวฟินๆกับเชฟบุช  #มาวินฟินเวอร์ #เชฟบุชเบบี๋ #ไทยรัฐทีวีช่อง32
 

วันศุกร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2568

รองปลัดกระทรวงแรงงาน ผลักดันโครงการ INDE-REGIS ขยายเครือข่ายคุ้มครองแรงงานอิสระทั่วประเทศ ประจำปี 2568

รองปลัดกระทรวงแรงงาน ผลักดันโครงการ INDE-REGIS ขยายเครือข่ายคุ้มครองแรงงานอิสระทั่วประเทศ ประจำปี 2568
         
วันที่ 29 สิงหาคม 2568 เวลา 10.00 น. นายสมาสภ์ ปัทมะสุคนธ์ รองปลัดกระทรวงแรงงาน รักษาราชการแทนปลัดกระทรวงแรงงาน เปิดเผยภายหลังเปิดโครงการสัมมนาเพื่อขยายเครือข่ายแรงงานอิสระและส่งเสริมการขึ้นทะเบียนในระบบแรงงานอิสระ INDE-REGIS ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 โดยมี ว่าที่ร้อยตรีสมศักดิ์ พรหมดำ ผู้ตรวจราชการกระทรวงแรงงาน นายเกริกไกร นาสมยนต์ ที่ปรึกษากฎหมาย และผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงงาน ร่วมเป็นเกียรติในงาน นางสาวกรจิรัฏฐ์ พงจันทร์ศธร ผู้ช่วยปลัดกระทรวงแรงงาน กล่าววัตถุประสงค์การจัดงาน ณ โรงแรมเซ็นทารา ไลฟ์ ศูนย์ราชการและคอนเวนชันเซ็นเตอร์ แจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ ว่า



ตามนโยบายหลักของ ท่านพงศ์กวิน จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้ให้ความสำคัญในการผลักดันการคุ้มครองแรงงานอิสระ เนื่องจากแรงงานอิสระเป็นแรงงานที่ไม่มีนายจ้าง ซึ่งจะมีความแตกต่างจากแรงงานในระบบ หรือแรงงานที่ทำงานในสถานประกอบการ ดังนั้น การกำหนดนโยบายหรือการบริหารจัดการแรงงานอิสระ ซึ่งปัจจุบันมีกว่า 21 ล้านคน หลากหลายกลุ่มอาชีพ จำเป็นต้องมีข้อมูลและตัวตนของแรงงานอิสระ จึงเป็นที่มาของการเตรียมความพร้อมในเรื่องของการจัดทำฐานข้อมูลแรงงานอิสระ ภายใต้ชื่อ ระบบแรงงานอิสระ INDE-REGIS รวมถึง ส่งเสริมให้แรงงานอิสระขึ้นทะเบียนในระบบฯ โดยใช้เครือข่ายแรงงานอิสระได้แก่ อาสาสมัครแรงงาน บัณฑิตแรงงาน กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้นำชุมชน ทั่วประเทศ ซึ่งปัจจุบันมีจำนวนกว่า 81,143 คน ทำหน้าที่เป็นสื่อกลาง ในการประชาสัมพันธ์ สร้างความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับจากการส่งเสริมและคุ้มครองแรงงานอิสระ

นายสมาสภ์ ปัทมะสุคนธ์ รองปลัดกระทรวงแรงงาน รักษาราชการแทนปลัดกระทรวงแรงงาน กล่าวเพิ่มเติมว่า เมื่อแรงงานอิสระได้ขึ้นทะเบียนในระบบแรงงานอิสระ INDE-REGIS โดยระบุตัวตน ระบุความต้องการเพื่อขอรับความช่วยเหลือด้านแรงงาน ระหว่างที่รอให้ (ร่าง) พระราชบัญญัติส่งเสริมและคุ้มครองแรงงานอิสระ มีผลใช้บังคับ ข้อมูลเหล่านี้จะถูกนำมาวิเคราะห์ และส่งต่อการให้ความช่วยเหลือตามภารกิจของหน่วยงาน สังกัดกระทรวงแรงงาน อาทิ การส่งเสริมการมีงานทำ การพัฒนาอาชีพ พัฒนาทักษะฝีมือ ความปลอดภัยในการทำงาน และสิทธิประโยชน์ด้านประกันสังคม และหากกฎหมายมีผลใช้บังคับ นอกจากแรงงานอิสระจะได้รับสิทธิ และการส่งเสริมข้างต้นแล้ว ยังจะได้รับสิทธิในการรวมกลุ่มเพื่อสร้างความเข้มแข็ง การเข้าถึงกองทุนส่งเสริมและคุ้มครองแรงงานอิสระ สามารถกู้ยืมเงินเพื่อการประกอบอาชีพและดำรงชีพ นอกจากนี้ ยังมีการจัดให้มีประกันภัย การคุ้มครองสุขภาพ การประกันอุบัติเหตุ และมีพนักงานตรวจแรงงานอิสระ รับเรื่องร้องทุกร้องเรียนและไกล่เกลี่ยจากการไม่ได้รับความเป็นธรรมในการทำงานได้

“วันนี้ เรามีเป้าหมายการขยายเครือข่ายแรงงานอิสระ ไปยังประธาน/กรรมการชุมชน และผู้ประกอบอาชีพกลุ่มต่างๆ ที่มีสมาชิกอยู่ทั่วประเทศ ซึ่งเป้าหมายทั้ง 2 กลุ่มนี้ กระทรวงแรงงานได้รับความร่วมมือจากกรุงเทพมหานคร สมาคมนักร้องลูกทุ่งแห่งประเทศไทย มูลนิธิเพื่อการพัฒนาแรงงานและอาชีพ (Homenet) และศูนย์ประสานงานแรงงานนอกระบบแห่งชาติ นอกจากนี้ กระทรวงแรงงานยังได้มีการเตรียมความพร้อมก่อนที่กฎหมายมีผลใช้บังคับ 3 ประเด็น คือ

1.การจัดทำระบบแพลตฟอร์ม ภายใต้ชื่อ ระบบแรงงานอิสระ INDE-REGIS

2.กานประชาสัมพันธ์ สร้างการรับรู้เกี่ยวกับประโยชน์จากการส่งเสริมและคุ้มครองแรงงานอิสระ และเชิญชวนขึ้นทะเบียนในระบบ และ

3.จัดทำกฎหมายลำดับรอง 31 ฉบับ ” นายสมาสภ์ฯ กล่าว

ตำรวจภูธรภาค 1 แถลงการณ์จับกุมยาบ้ารายใหญ่ 3.2 ล้านเม็ด

จากนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล ที่เร่งแก้ไขปัญหายาเสพติดอย่างเด็ดขาดและครบวงจร ตั้งแต่ตัดต้นตอการผลิตและจำหน่ายด้วยการร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน สกัดกั้น ควบคุมการลักลอบนำเข้า และตัดเส้นทางการลำเลียง ยาเสพติด ปราบปราม ยึดทรัพย์ผู้ค้า และเมื่อวันที่ 17 ก.ค.68 นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี ได้มอบนโยบายและเปิดปฏิบัติการกวาดล้างยาเสพติด “No Drugs No Dealers” ผนึกกำลัง ชุมชนปลอดยาเสพติด ให้เห็นผลภายใน 3 เดือนพล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. พล.ต.อ.ไกรบุญ ทรวดทรง รอง ผบ.ตร./ผอ.ศอ.ปส.ตร. พล.ต.อ.ประจวบ วงศ์สุข รอง ผบ.ตร./ประธานอนุกรรมการป้องกันปราบปรามการพักคอยยาเสพติดในพื้นที่ตอนในและสกัดกั้นการลำเลียง ยาเสพติดลงสู่พื้นที่ภาคใต้ ได้สั่งให้ตำรวจภูธรภาค 1 เร่งรัดทำการสืบสวนหาข่าวและ X ray พื้นที่ เพื่อปราบปรามทำลายแหล่งพักคอยและสกัดกั้นการลำเลียงยาเสพติดที่ลักลอบนำเข้ามาจากประเทศเพื่อนบ้านตามแนวตะเข็บชายแดน เข้ามายังพื้นที่ตอนในเพื่อรอเตรียมส่งต่อให้กับลูกค้าในพื้นที่ต่างๆ และให้ดำเนินการตามปฏิบัติการกวาดล้างยาเสพติด “No Drugs No Dealers” ผนึกกำลัง ชุมชนปลอดยาเสพติด อย่างจริงจังในวันนี้ ขอแถลงผลการจับกุมยาเสพติดรายสำคัญ ซี่งเป็นผู้ลำเลียงยาเสพติดในพื้นที่จังหวัดนนทบุรี

โดยสามารถทำการจับกุมได้ในวันที่ 29 ส.ค.68 มีรายละเอียดดังนี้– ตำรวจภูธรภาค 1 โดย พล.ต.ท.สุรพล เปรมบุตร ผบช.ภ.1, พล.ต.ต.ชยานนท์ มีสติ รอง ผบช.ภ.1, พล.ต.ต. โชคชัย งามวงศ์ รอง ผบช.ภ.1– ตำรวจภูธรจังหวัดนนทบุรี โดย พล.ต.ต.กิตต์ธเนศ ธนนันท์ทวีสิน ผบก.ภ.จว.นนทบุรี, พ.ต.อ.จักริน พันธุ์ทอง รอง ผบก.ภ.จว.นนทบุรี, พ.ต.อ.จักรพงศ์ นุชผดุง รอง ผบก.ภ.จว.นนทบุรี, พ.ต.อ.ปิยวุฒิ แก้วมณี รอง ผบก.ภ.จว.นนทบุรี– ฝ่ายปกครองจังหวัดนนทบุรี โดย นายเกียรติศักดิ์ ตรงศิริ ผู้ว่าราชการจังหวัดนนทบุรี, นายไพโรจน์ จึงธนาเจริญ นายอำเภอบางบัวทองภายใต้การอำนวยการของ พ.ต.อ.พฤฒ จำรูญศาสน์ ผกก.สภ.บางบัวทอง ปฏิบัติการ โดย พ.ต.ท.ชนาธิป พานทอง รอง ผกก.ป.สภ.บางบัวทอง, พ.ต.ท.สีน้ำ นิยมพลอย สว.ฯ ปฏิบัติหน้าที่เวร 70, พ.ต.ท.พิเชษฐ์ จันทร์พา สวป. สภ.บางบัวทอง, พ.ต.ท.ศิโรดม ศรีปัญญา สว.สส.สภ.บางบัวทอง พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายป้องกันปราบปรามและฝ่ายสืบสวนพฤติการณ์กล่าวคือ เมื่อวันที่ 29 ส.ค.68 เวลาประมาณ 00.10 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.บางบัวทอง ได้รับแจ้งจาก สายข่าวว่าจะมีการส่งมอบยาเสพติด บริเวณสะพานกลับรถถนนหมายเลข 9 ต.ละหาร อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี โดยรถที่นำยาเสพติดมาส่ง เป็นรถกระบะ ยี่ห้อโตโยต้า รุ่นสปอร์ตไลต์เดอร์ สีเทา จึงได้บูรณาการประกอบกำลังงานป้องกันปราบปรามและงานสืบสวน วางแผนเฝ้าทำการจับกุม จนถึงเวลาประมาณ 05.40 น. ได้มีรถลักษณะตรงกับที่สายข่าวแจ้งมาพบว่าจอดบริเวณใต้สะพานกลับรถถนนหมายเลข 9 เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้แสดงตัวเข้าทำการตรวจสอบ โดยพบนายศักดิ์ (นามสมมติ) อายุ 48 ปี ภูมิลำเนาอยู่ที่ อ.สองพี่น้อง จ.สุพรรณบุรี ผู้เป็นคนขับรถคันดังกล่าว และได้แจ้งวัตถุประสงค์ของเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมให้ทราบ จึงได้ให้นายศักดิ์ฯ นำพาเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมตรวจสอบภายในรถยนต์คันดังกล่าว พบยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) 8 ถุงใหญ่ (สีดำ) ประมาณ 3,200,000 เม็ด สอบถามนายศักดิ์ฯ เบื้องต้นให้การว่าตนได้ทำงานรับจ้างอยู่ที่ จ.หนองคาย ต่อมาได้มีชายไม่ทราบชื่อสกุลจริง มาติดต่อจ้างให้ตน ขับรถกระบะคันดังกล่าวจาก จ.หนองคาย มาจอดที่บริเวณจุดกลับรถที่เกิดเหตุ โดยตนได้รับค่าจ้างค่าขนยาบ้า เป็นเงิน 20,000 บาท และตนพึ่งเคยทำ ครั้งนี้เป็นครั้งแรก เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมจึงได้ควบคุมตัวนายศักดิ์ฯ พร้อมของกลางยาบ้า มาดำเนินคดีที่ สภ.บางบัวทอง และจะได้ดำเนินการสืบสวนขยายผล ตรวจสอบหาพยานหลักฐานเพิ่มเติม หากพบว่ามีผู้ร่วมกระทำความผิดเพิ่มเติมจะดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามกฎหมายต่อไปตำรวจภูธรภาค ๑ ใคร่ขอประชาสัมพันธ์พี่น้องประชาชน หากพบบุคคล รถต้องสงสัย หรือมีข้อมูลเกี่ยวกับ ยาเสพติด สามารถติดต่อให้ข้อมูลได้ที่สถานีตำรวจที่ท่านสะดวก หรือ สายด่วน 191 และ 1599 ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจจะนำข้อมูลดังกล่าวไปสืบสวนขยายผลจับกุมผู้กระทำผิดต่อไป


Kamillosan® เปิดตัว อย่างประทับใจ กับพรีเซนเตอร์คนแรกของแบรนด์ ‘เจฟ ซาเตอร์’ และกิจกรรมสร้างประสบการณ์สุดพิเศษผ่านสถานการณ์จำลอง ตัวช่วยสำคัญในชีวิตประจำวันให้ทุกคนได้ผ่อนคลาย สบายคอ

บรรยากาศงาน “The Soothing Moment with JEFF SATUR” ที่จัดโดย บริษัท เอ. เมนารินี (ประเทศไทย) จำกัด เพื่อเปิดตัว ‘เจฟ ซาเตอร์’ ศิลปินมากความสามารถแห่งยุค ในฐานะ พรีเซนเตอร์คนแรกของ Kamillosan® ได้จบลงอย่างสวยงาม ท่ามกลางกระแสตอบรับล้นหลามจากแฟนคลับและผู้บริโภคที่เข้าร่วมงาน ณ ลาน Parade G Floor, ONE Bangkok

ภายในงาน นอกจากการเผยโฉม แพ็กเกจจิ้งใหม่ ที่ทันสมัย สดใส และสามารถต่อกล่องให้เป็นรูปดอกคาโมมายล์เต็มดอกได้แล้ว ไฮไลต์ที่เรียกความสนใจไม่แพ้กันคือ โซนสัมผัสประสบการณ์จำลองสถานการณ์ต่างๆในชีวิตประจำวันที่ต้องใช้ตัวช่วยให้เกิด Soothing Moment ผ่อนคลาย สบายคอ เช่น การจำลองอยู่ในสภาพอากาศแห้ง ฝุ่น PM2.5, การใช้เสียง และสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เพื่อให้ผู้ร่วมงานได้เข้าใจปัญหาและตระหนักถึงการดูแลสุขภาพลำคอมากยิ่งขึ้นงานนี้ไม่ใช่เพียงการเปิดตัวพรีเซนเตอร์หรือแพ็กเกจใหม่ แต่เป็นการ ‘เชื่อม’ ผู้บริโภคให้เห็นความสำคัญของการดูแลลำคอในทุกสถานการณ์ ผ่านประสบการณ์ตรงที่ทั้งสนุกและได้สาระ

การเลือก ‘เจฟ ซาเตอร์’ มาเป็นพรีเซนเตอร์ ถือเป็นกลยุทธ์สำคัญในการรีแบรนด์ให้ Kamillosan® เข้าใกล้กลุ่มคนรุ่นใหม่มากขึ้น ขณะเดียวกันก็ยังคงจุดแข็งในเรื่องคุณภาพและส่วนผสมจากธรรมชาติ เช่น ดอกเยอรมันคาโมมายล์และเอสเซนเชียลออยล์ 7 ชนิด ที่เป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์มาอย่างยาวนาน

งานเปิดตัวครั้งนี้นับเป็นอีกหนึ่งหมุดหมายสำคัญของ Kamillosan® ในการก้าวสู่บทใหม่ ด้วยภาพลักษณ์ที่สดใส เข้าถึงง่าย และยังคงเป็นตัวเลือกอันดับหนึ่งเมื่อต้องการดูแลลำคอKamillosan® พลิกโฉมครั้งใหญ่! เปิดตัว ‘เจฟ ซาเตอร์’ พรีเซนเตอร์คนแรกของแบรนด์ พร้อมเผยกลยุทธ์ Rebrand x Repackaging สู่ผู้นำตลาดที่ตอบรับไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ บริษัท เอ. เมนารินี (ประเทศไทย) จำกัด ผู้นำเข้าผลิตภัณฑ์สุขภาพจากประเทศอิตาลี ภายใต้เครือข่าย Menarini Group หนึ่งในกลุ่มบริษัทผลิตภัณฑ์สุขภาพระดับโลก ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 135 ปี และมีสำนักงานกระจายอยู่ในกว่า 140 ประเทศทั่วโลก สร้างปรากฏการณ์ครั้งสำคัญใน ประวัติศาสตร์แบรนด์ ด้วยการรีเฟรชภาพลักษณ์ครั้งใหญ่ให้กับแบรนด์ Kamillosan® ภายใต้แนวคิด “ถ้าเรื่องคอ ต้องคามิลโลซาน” พร้อมเปิดตัว ‘เจฟ ซาเตอร์’ (Jeff Satur) ศิลปินมากความสามารถแห่งยุค เป็นพรีเซนเตอร์คนแรกของแบรนด์อย่างเป็นทางการ ในงาน “The Soothing Moment with JEFF SATUR” ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 28 สิงหาคม 2568 ณ ลาน Parade G Floor, ONE Bangkok

คุณจงรักษ์ อึ้งตระกูล ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด ซึ่งเป็น ผู้บริหารผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของ Kamillosan® ในประเทศไทย ได้กล่าว ถึงวิสัยทัศน์เชิงกลยุทธ์ว่า “การรีแบรนด์ครั้งนี้เกิดขึ้นเพื่อ ‘เชื่อม’ ช่องว่างระหว่างรากฐาน อันแข็งแกร่งของแบรนด์ ในด้านประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์ จากสารธรรมชาติและความ น่าเชื่อถือที่ได้รับการยอมรับมายาวนาน กับความสดใหม่ที่ผู้บริโภคยุคใหม่ต้องการเราไม่ได้แค่ปรับตัว แต่กำลังวางตำแหน่งใหม่ให้ Kamillosan® เป็นคำตอบของ ทุกปัญหาในช่องปากและลำคอ เพื่อรักษาความเป็นผู้นำในใจผู้บริโภคต่อไป”

พลิกโฉมดีไซน์บรรจุภัณฑ์สุดสร้างสรรค์: ผสานเสน่ห์ ‘เจฟ ซาเตอร์’ สร้างปรากฏการณ์ใหม่ให้ผู้บริโภคยุคนี้

การปรับแพ็กเกจใหม่ให้สดใส ร่วมสมัย และเข้าถึงได้ง่ายขึ้น พร้อมลูกเล่น Gimmick ของกล่อง บรรจุภัณฑ์ที่สามารถนำมาต่อกันเป็นรูป “ดอกคาโมมายล์” เต็มดอก ไม่เพียงสื่อถึงส่วน ผสมหลัก จากธรรมชาติ แต่ยังสร้างความรู้สึกสดชื่นและโดดเด่น และเชื่อมโยงกับผู้บริโภค ในแง่มุมใหม่และหมัดเด็ดสุดเซอร์ไพรส์คือ การเปิดตัว ‘เจฟ ซาเตอร์’ เป็น “Presenter คนแรกในประวัติศาสตร์แบรนด์” ซึ่งคุณจงรักษ์ อึ้งตระกูล เผยว่า เจฟเป็นบุคคลที่สะท้อนภาพลักษณ์ของแบรนด์ยุคใหม่ได้อย่างแท้จริง โดยเฉพาะในแง่มุมของแบรนด์ Kamillosan® ที่เปี่ยมด้วยคุณภาพและเป็นเบื้องหลังความสำเร็จ ตลอดจนสามารถเป็นจุดเริ่มต้นในการขยายพอร์ตสินค้าที่มีคุณภาพอื่น ๆ ออกมาเพิ่มเติมได้ในอนาคต การเลือกใช้กลยุทธ์พรีเซนเตอร์ในครั้งนี้ ไม่เพียงมีพลังในการสร้างการจดจำ แต่ยังสามารถดึงแบรนด์ให้เชื่อมต่อกับผู้บริโภคยุคใหม่ได้อย่างทรงพลังและลึกซึ้ง พร้อมพา Kamillosan® ก้าวเข้าสู่บทใหม่ในใจของคนไทยต่อไปแกะกล่อง DNA แห่งความสำเร็จ: คุณภาพ Kamillosan® ที่เหนือกว่าและกลยุทธ์สร้างความเชื่อมั่น

คุณพิไลวรรณ ไชยศร ผู้อำนวยการฝ่ายขาย กล่าวว่า “สิ่งที่เป็นจุดแข็งให้ Kamillosan® แตกต่างและโดดเด่นในตลาดคือ การผสมผสานระหว่าง ฐานความเชื่อมั่นของแบรนด์ที่มีมายาวนานกับกลยุทธ์การตลาดที่เฉียบคมและมีเป้าหมายชัดเจน ด้วยส่วนผสมเฉพาะจากธรรมชาติ (Natural Ingredients) ที่ผสานคุณสมบัติบรรเทาอาการอักเสบ จากดอกเยอรมันคาโมมายล์ พร้อมเอสเซนเชียลออยล์อีก 7 ชนิด ในด้านการตลาด Kamillosan® วางกลยุทธ์ต่างจากคู่แข่ง โดยเน้นสื่อสารบนพื้นฐานของ “ความรู้” และ “ความไว้วางใจ” ผ่านคุณค่าธรรมชาติและการออกฤทธิ์ที่รวดเร็วเพื่อสร้างความภักดีต่อแบรนด์ในระยะยาว พร้อมรักษา ความสัมพันธ์กับบุคลากรทางการแพทย์ซึ่งเป็นฐานความเชื่อมั่นดั้งเดิมของแบรนด์”

A. Menarini (ประเทศไทย) จำกัด: ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพระดับโลกเพื่อคนไทย บริษัท เอ. เมนารินี (ประเทศไทย) จำกัด เป็นผู้นำเข้าผลิตภัณฑ์สุขภาพจากประเทศอิตาลี ภายใต้เครือข่าย Menarini Group ซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มบริษัทยาระดับโลกที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน กว่า 135 ปี และมีสำนักงานกระจายอยู่ในกว่า 140 ประเทศทั่วโลก บริษัทฯ มุ่งมั่นดำเนินธุรกิจใน ประเทศไทยโดยยึดหลักจริยธรรมทางการแพทย์ ความปลอดภัยของผู้บริโภค และการเข้าถึง ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพในมาตรฐานระดับสากล เพื่อยกระดับสุขภาพของคนไทยอย่างยั่งยืน Kamillosan® เป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์เรือธงที่บริษัทฯ ได้บุกเบิกตลาดสเปรย์พ่นคอในประเทศไทย และครองส่วนแบ่งตลาดสูงสุดมาอย่างยาวนาน

อิเกร์ กาซิยาส แนะนำแมตช์พรีเมียร์ลีกน่าดูประจำสัปดาห์ คอบอลห้ามพลาด!

อิเกร์ กาซิยาส แนะนำแมตช์พรีเมียร์ลีกน่าดูประจำสัปดาห์ คอบอลห้ามพลาด!
 

อิเกร์ กาซิยาส ตำนานเรอัล มาดริด และแชมป์โลก 2010 ยังคงรับบทบาทแบรนด์แอมบาสเดอร์ของสื่อออนไลน์ดังตั้งแต่ปี 2022 พร้อมแนวคิด Play with FUN, be FUN ที่คอยแบ่งปันมุมมองฟุตบอลให้แฟน ๆ ได้ติดตามอย่างสนุกทุกสัปดาห์
แมตช์ไฮไลท์ประจำสัปดาห์
ลิเวอร์พูล vs อาร์เซน่อล
  บิ๊กแมตช์ที่แอนฟิลด์ สองทีมที่ฟอร์มร้อนแรง ชนะรวดในสองนัดแรก เจอกันแบบนี้รับประกันดุเดือดแน่นอน

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด vs เบิร์นลี่ย์
  “ปีศาจแดง” กำลังมองหาชัยชนะนัดแรกของซีซั่น เปิดโอลด์ แทรฟฟอร์ดต้อนรับน้องใหม่ไฟแรงที่เพิ่งเลื่อนชั้น

ลีดส์ ยูไนเต็ด vs นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด
  สาลิกาดงยังไม่ฟอร์มเข้าที่ เจอทีมพลังหนุ่มอย่างลีดส์ที่เล่นในบ้านได้ดุดัน ถือว่าน่าจับตาไม่แพ้เกมใหญ่

สเปอร์ส vs บอร์นมัธ
  เกมนี้แฟนบอลน่าจะได้เห็นแท็คติกการบุกที่น่าตื่นเต้นจากทั้งสองฝั่ง โดยเฉพาะสเปอร์สที่เล่นในบ้าน

นอกจากนี้ ยังมีแมตช์ที่น่าติดตามเพิ่มเติม
เชลซี ปะทะ ฟูแล่ม — ดาร์บี้ลอนดอนที่เต็มไปด้วยบรรยากาศมันส์ ๆ
ซันเดอร์แลนด์ เปิดบ้านพบ เบรนท์ฟอร์ด — ทีมแมวดำที่เพิ่งกลับมาโชว์ศักยภาพในพรีเมียร์ลีก
 ไบรท์ตัน เจอ แมนฯ ซิตี้ — เกมที่แฟนบอลรอดูว่าเรือใบจะรักษามาตรฐานสูงได้แค่ไหน
น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ พบ เวสต์แฮม — ฟอเรสต์เล่นในบ้านทีไรมีทีเด็ดเสมอ
คริสตัล พาเลซ vs แอสตัน วิลล่า — สองทีมที่ชอบเล่นเกมรุกดวลกันตรง ๆ

แฟน ๆ สามารถติดตามคอลัมน์ฟุตบอลจาก คาซิยาส และข่าวกีฬารายวันได้ที่ LINE ID: LiveYourDream และเพจ NUFC Thailand Fans (www.facebook.com/NUFCThailandFans)
นอกจากจะได้อัปเดตทุกแมตช์สำคัญแล้ว แฟนบอลยังมีกิจกรรมสนุก ๆ และของรางวัลมากมายรออยู่ทุกสัปดาห์ตามสไตล์
 #PlaywithFUNbeFUN

วันพุธที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2568

BCH เปิดตัว “โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ ปทุมธานี” รีแบรนด์เต็มรูปแบบเสริมศักยภาพธุรกิจโรงพยาบาลเอกชน รับเทรนด์สุขภาพโตต่อเนื่อง

BCH เปิดตัว “โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ ปทุมธานี” รีแบรนด์เต็มรูปแบบเสริมศักยภาพธุรกิจโรงพยาบาลเอกชน รับเทรนด์สุขภาพโตต่อเนื่อง

บริษัท บางกอก เชน ฮอสปิทอล จำกัด (มหาชน) หรือ BCH เปิดตัว โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ ปทุมธานี อย่างเป็นทางการ ภายใต้แนวคิด “Celebrating the Beginning of Our First Year” หลังการรีแบรนด์จาก โรงพยาบาลการุญเวช ปทุมธานี ที่เปิดให้บริการมากว่า 10 ปี เพื่อยกระดับมาตรฐานและรองรับความต้องการด้านการรักษาที่ซับซ้อนมากขึ้น


ศ.ดร.นพ.เฉลิม หาญพาณิชย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บางกอก เชน ฮอสปิทอล จำกัด (มหาชน) หรือ BCH เปิดเผยว่า การรีแบรนด์ โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ ปทุมธานี จาก โรงพยาบาลการุญเวช ปทุมธานี ที่เปิดให้บริการมากว่า 10 ปี นี่ไม่ใช่เพียงการเปลี่ยนชื่อหรือโลโก้ใหม่ แต่เป็นการลงทุนเชิงกลยุทธ์ ที่จะทำให้โรงพยาบาลแห่งนี้ก้าวสู่บทบาทใหม่ในฐานะศูนย์กลางการแพทย์ของจังหวัดปทุมธานี และพื้นที่ใกล้เคียง ตลอดระยะเวลา 10 ปี BCH ได้ลงทุนอย่างต่อเนื่อง และได้เพิ่มงบประมาณเพื่อขยายพื้นที่ บริการ และเครื่องมือแพทย์ทันสมัย รวมถึงการเสริมทีมแพทย์เฉพาะทาง เพื่อยกระดับสู่มาตรฐานเดียวกับโรงพยาบาลในเครือเกษมราษฎร์ และรองรับตลาดบริการสุขภาพไทยคาดว่าจะขยายตัวต่อเนื่อง จากการเข้าสู่สังคมสูงวัยและความต้องการบริการทางการแพทย์เชิงป้องกัน (Preventive Healthcare) โดยโรงพยาบาลพร้อมให้บริการทั้งผู้ป่วยเงินสดและผู้ใช้สิทธิประกันสุขภาพ สร้างฐานรายได้ที่กระจายตัว ลดความเสี่ยงจากกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง การรีแบรนด์ครั้งนี้สะท้อนกลยุทธ์ของ BCH ที่ต้องการขยายการเข้าถึงในระดับภูมิภาค เพื่อตอบโจทย์การแข่งขันกับผู้เล่นรายใหญ่ในตลาดโรงพยาบาลเอกชน รวมถึง Medical Tourism ด้วยศักยภาพเครือข่ายกว่า 15 สาขาทั่วประเทศ BCH มีโอกาสใช้ โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ ปทุมธานี เป็นหนึ่งในฐานสนับสนุนบริการสุขภาพสำหรับผู้ป่วยต่างชาติ โดยเฉพาะกลุ่ม CLMV และผู้ป่วยจีนที่เข้ามาในกรุงเทพฯ และปริมณฑล

ศ.ดร.นพ.เฉลิม กล่าวอีกว่า อีกหนึ่งกลยุทธ์ของ BCH คือ Synergy เครือข่าย ซึ่งการเปิดตัวครั้งนี้ยังเชื่อมโยงกับโรงพยาบาลในเครือทั้ง World Medical, Kasemrad International และโรงพยาบาลการุญเวช ซึ่งเสริมให้ BCH มีความแข็งแกร่งในเชิงภูมิศาสตร์และความเชี่ยวชาญเฉพาะทางอีกด้วย 
โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ ปทุมธานี มีเครืองมือทางการแพทย์ ตลอดจนทีมแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ที่พร้อมให้การดูแล ทั้งโรคทั่วไปและโรคซับซ้อน และมุ่งมั่นที่จะให้บริการทางการแพทย์ที่ครอบคลุม อาทิ ศูนย์โรคเฉพาะทาง เช่น กุมารเวช จักษุ กระดูก ศัลยกรรม เป็นต้น ศูนย์ตรวจสุขภาพ และศูนย์ฉุกเฉินและอุบัติเหตุ 24 ชั่วโมง

ศ.ดร.นพ.เฉลิม กล่าวสรุปว่า “การเปิดตัวโรงพยาบาลเกษมราษฎร์ ปทุมธานี โดยบุคลากรทีมแพทย์ พยาบาล และเจ้าหน้าที่ ยังคงยึดมั่นในพันธกิจ “ดูแลใกล้ชิด สนิทเหมือนญาติ” โดยมุ่งมั่นที่จะให้การดูแลรักษาผู้ป่วยทุกท่านด้วยความเอาใจใส่ ดุจญาติมิตร เพื่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชนในจังหวัดปทุมธานี และจังหวัดใกล้เคียงให้มีสุขภาพที่ดีอีกด้วย
ติดตามความเคลื่อนไหวของ โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ ปทุมธานี
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 02 529 4533

วช. ผลักดันแผนขับเคลื่อนงานวิจัยด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมสู่การใช้ประโยชน์

วช. ผลักดันแผนขับเคลื่อนงานวิจัยด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมสู่การใช้ประโยชน์
วันที่ 27 สิงหาคม 2568 สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ(วช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม จัดการประชุมรับฟังความคิดเห็นต่อผลการดำเนินงานแผนงาน “ศูนย์ขับเคลื่อนผลงานวิจัยด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมสู่การนำไปใช้ประโยชน์” โดย ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ เป็นประธานในการประชุม และได้รับเกียรติจาก ศ.ดร.สนิท อักษรแก้ว รศ. ดร.นภาวรรณ นพรัตนราภรณ์ คณะที่ปรึกษา ผู้ทรงคุณวุฒิ พร้อมด้วย ผู้บริหารจาก วช. และทีมนักวิจัย ณ ห้องทิวลิป โรงแรมรามาการ์เด้นส์ กรุงเทพมหานคร

ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ กล่าวว่า การดำเนินงานแผนงาน “ศูนย์ขับเคลื่อนผลงานวิจัยด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมสู่การนำไปใช้ประโยชน์” โดยมี รศ.ดร.นภาวรรณ นพรัตนราภรณ์ ผู้อำนวยการแผนงานฯ และคณะที่ปรึกษา ได้ดำเนินการประเมินผลลัพธ์ และผลกระทบของโครงการด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่ได้รับทุนวิจัยจาก วช. มาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2557 ซึ่งรูปแบบการให้ทุนมีการปรับเปลี่ยนตามการปฏิรูประบบวิจัย จุดเปลี่ยนที่สำคัญเริ่มในปีงบประมาณ 2562 จึงมีความจำเป็นต้องเชื่อมโยงโครงการในระยะก่อน โครงการปัจจุบัน และโครงการในอนาคต เพื่อนำไปขับเคลื่อนการใช้ประโยชน์ต่อไป โดยการประเมินการใช้ประโยชน์ และความคุ้มค่าด้วยกลไกต่าง ๆ นั้น มีความสำคัญ วช. ภายใต้กระทรวง อว. ในฐานะหน่วยงานบริหารจัดการทุนวิจัยและนวัตกรรม สามารถนำงานที่แล้วเสร็จจากทุนเดิมและจากทุนสนับสนุนงานเชิงกลยุทธ์. (Strategic Fund : SF) ที่มีอยู่นำไปต่อยอดขยายผลสู่แผนงานเป้าหมายสำคัญตามยุทธศาสตร์ ววน. ที่ริเริ่มในปีงบประมาณ 2568 ได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งเกิดจากการทำงานอย่างต่อเนื่องมาก่อน วช.จึงมีความมุ่งมั่นที่จะสนับสนุนท่านนักวิจัย การดำเนินงานของศูนย์ฯ และงานด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง 
รศ. ดร.นภาวรรณ นพรัตนราภรณ์ ผู้อำนวยการแผนงานฯ กล่าวว่า ในนามของ “แผนงานศูนย์ขับเคลื่อนผลงานวิจัยด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมสู่การนำไปใช้ประโยชน์” ศูนย์ได้ดำเนินการประเมินผลลัพธ์ และผลกระทบของโครงการด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่ได้การสนับสนุนทุนจาก วช. ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2557 รวมถึงการวิเคราะห์โอกาสตลอดจนการขับเคลื่อน การนำไปใช้ประโยชน์เชิงวิชาการ สังคม ชุมชน พาณิชย์ และนโยบาย ในการประชุมครั้งนี้จะเป็นผลจากการประเมินโครงการที่ได้รับทุนอุดหนุน ประจำปีงบประมาณ 2564  

ถัดมาเป็น การนำเสนอผลการดำเนินงานโครงการ พร้อมตัวอย่างผลงานวิจัยที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์จริง จำนวน 3 ผลงาน ได้แก่ “โครงการจากวิจัยสู่ธุรกิจ Start-up ในนาม บริษัท สยามโนวาส จำกัด (Siamnovas Company Ltd.)” นำเสนอโดย : ผศ. ดร.วิวัฒน์ พัฒนาวงศ์ ที่ปรึกษานวัตกรรม บริษัท สยามโนวาส จำกัด ซึ่งดำเนินการพัฒนาอย่างต่อเนื่องมานับสิบปี ปัจจุบัน M.Zlex พัฒนาถึง version5 และขยับไปขอรับการสนับสนุนจาก BOI เพื่อขยายไปยังตลาดต่างประเทศ ซึ่งมีโอกาสพัฒนาเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มในการช่วยลด PM2.5 และก๊าซมีเทน

“โครงการศึกษาเปรียบเทียบการให้น้ำแบบประหยัดสำหรับนาข้าว จังหวัดสุพรรณบุรี กรณีศึกษาสายพันธุ์ข้าว กข.41” นำเสนอโดย : นายชวกร ริ้วตระกูลไพบูลย์ หัวหน้าโครงการวิจัย สังกัดกรมชลประทาน ในการทำนาเปียกสลับแห้งที่ช่วยลดการใช้ปุ๋ย และก๊าซเรือนกระจก ซึ่งในปัจจุบันขยายผลร่วมกับกรมการข้าวโดยเฉพาะในปัจจุบันที่การลดก๊าซเรือนกระจกในภาคการเกษตรมีความสำคัญเพิ่มขึ้น

และ "แผนงานการย้ายปลูกหญ้าทะเลและนิเวศบริการของหญ้าทะเล นำเสนอโดย : รศ. ดร. จารุวรรณ มะยะกูล ผู้ร่วมโครงการวิจัย สังกัด มหาวิทยาสงขลานครินทร์ ที่นำผลงานไปดำเนินการขยายผลร่วมกับอาสาสมัครในพื้นที่เกาะลิบงซึ่งประสบปัญหาหญ้าทะเลลดลงอย่างรุนแรง รวมกับ ศูนย์อนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดําริฯ

สุดท้ายเป็นการบรรยายพิเศษในหัวข้อ “แผนที่นำทางเพื่อขับเคลื่อนผลงานวิจัยสู่การใช้ประโยชน์ (Research Management Roadmap)” โดย ผศ. ดร.คัทลียา จิรประเสริฐกุล เพื่อเป็นข้อเสนอให้กับหน่วยงานบริหารทุนและนักวิจัยในการผลักดันให้ผลงานวิจัยได้รับการสนับสนุนสร้างผลลัพธ์ และผลกระทบมากยิ่งขึ้น

และปิดท้ายด้วย ศ.อดร.สนิท อักษรแก้ว ประธานกรรมการดำเนินงานสนับสนุนการวิจัยและนวัตกรรม วช. กล่าวปิดการประชุมด้วยการให้กำลังใจนักวิจัย และผู้ทำงานในระบบวิจัยด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่ต้อง
การความทุ่มเทในการทำงานอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้รู้จริง เพื่อผลักดันผลงานวิจัยไปสู่การใช้ประโยชน์เชิงเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน

สมาคมการค้าและการลงทุนอาเซียน–สากล (AITIA) จัดงาน TESE 2025 : Thailand E-Commerce Selection Expo 2025มหกรรมแสดงสินค้าและเจรจาธุรกิจออนไลน์ครั้งยิ่งใหญ่เปิดโอกาสเติบโตทางธุรกิจบนแพลตฟอร์ม E-Commerce ชั้นนำทั่วโลก25-27 กันยายน ณ ฮอลล์ 9 อิมแพ็ค เมืองทองธานี

สมาคมการค้าและการลงทุนอาเซียน–สากล (AITIA) 
จัดงาน TESE 2025 : Thailand E-Commerce Selection Expo 2025
มหกรรมแสดงสินค้าและเจรจาธุรกิจออนไลน์ครั้งยิ่งใหญ่ เปิดโอกาสเติบโตทางธุรกิจบนแพลตฟอร์ม E-Commerce ชั้นนำทั่วโลก
25-27 กันยายน ณ ฮอลล์ 9 อิมแพ็ค เมืองทองธานี



สมาคมการค้าและการลงทุนอาเซียน–สากล (AITIA) ร่วมกับ สมาคมสมาพันธ์การศึกษาไทย–จีน และพันธมิตร ทุ่มจัดงาน TESE 2025 : Thailand E-Commerce Selection Expo 2025 อย่างยิ่งใหญ่เป็นครั้งแรก ภายในงาน โตโยต้า ฟาร์ม เอ็กซ์โป 2025 (TOYOTA FARM EXPO 2025) มหกรรมการเกษตรในร่มที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย พร้อมมุ่งหน้าส่งเสริมการเติบโตทางธุรกิจ สร้างเครือข่ายความร่วมมือ พร้อมผลักดันผู้ประกอบการไทยสู่ตลาดโลกอย่างยั่งยืน บนแพลตฟอร์ม E-Commerce ชั้นนำจากทั่วโลก 

คุณชไมพร เจือเจริญ นายกสมาคมกิตติมศักดิ์ สมาคมการค้าและการลงทุนเอเชียน – สากล กล่าวว่า สมาคมการค้าและการลงทุนเอเชียน-สากล (AITIA) มุ่งมั่นเป็นศูนย์กลางในการส่งเสริม การค้า การลงทุน และการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม ระหว่างไทยกับประเทศต่าง ๆ ในทวีปเอเชียและภูมิภาคอื่นทั่วโลก เพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจ การพัฒนาเศรษฐกิจ และความร่วมมือที่ยั่งยืน พร้อมเดินหน้าสานต่อนโยบายส่งเสริมผู้ประกอบการไทยให้เติบโตในยุคเศรษฐกิจดิจิทัล ด้วยการจัดงาน “Thailand E-Commerce Selection Expo 2025” ซึ่งเป็นมหกรรมแสดงสินค้าและเจรจาธุรกิจสำหรับวงการอีคอมเมิร์ซ ที่มีเป้าหมายเพื่อเป็นเวทีสำคัญให้ผู้ประกอบการไทยได้นำเสนอสินค้าและบริการที่มีคุณภาพสู่สายตาผู้ซื้อและแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซชั้นนำจากทั่วโลก โดยเฉพาะจากตลาดเอเชีย ซึ่งภายในงานมีกิจกรรมต่างๆที่น่าสนใจมากมาย อาทิ การให้ความรู้ด้าน E-Commerce จาก Speaker คนดัง บนแพลตฟอร์ม TikTok Shop, Shopee, Lazada, การแนะนำตลาดดิจิทัล, กลยุทธ์การบริหารจัดการร้านค้าออนไลน์, การเจรจาธุรกิจกับผู้ประกอบการต่างประเทศ โดยเฉพาะจากจีน, บูธแสดงสินค้าไทยและนานาชาติ อาทิ สินค้าไลฟ์สไตล์, อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์, แฟชั่น, เครื่องครัว และอื่นๆอีกมากมาย 

นอกจากนี้ภายในงาน ยัง ได้รับความร่วมมืออย่างดีกับหน่วยงานภาครัฐของประเทศจีน ในด้านการส่งเสริมการเกษตร อาทิ เขตสาธิตการเกษตรเชิงนิเวศแห่งชาติเมืองเว่ยฝาง กรมเกษตรอันฮุย ตลอดจนกรมพาณิชย์จากเมืองต่างๆ หลากหลายมณฑล อาทิ เจียงซี ซานตง หูหนาน เจียงซู เจ้อเจียง เหอเป่ย และอีกมากมายเข้าร่วมแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ระหว่างกันอีกด้วย

คุณชไมพร กล่าวต่อว่า ทางสมาคมฯ เราพร้อมให้คำปรึกษาแก่ผู้ประกอบการไทยทุกท่านที่ต้องการขยายธุรกิจไปยังตลาดต่างประเทศ รวมถึงช่วยอำนวยความสะดวกในเรื่องต่างๆ เช่น การติดต่อประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หรือให้ข้อมูลเกี่ยวกับตลาดกลุ่มเป้าหมาย โดยงาน Thailand E- Commerce Selection Expo 2025 จะไม่ใช่แค่งานแสดงสินค้า แต่เป็นงานที่สร้างโอกาส สร้างเครือข่าย สร้างความร่วมมือทางผู้ธุรกิจที่ยั่งยืนร่วมกัน เรียนเชิญผู้ที่สนใจ และผู้ประกอบการเข้าร่วมงาน แล้วพบกันในวันที่ 25-27 กันยายน ณ ฮอลล์ 9 อิมแพ็ค เมืองทองธานี 
ห้ามพลาด ! โอกาสเติบโตทางธุรกิจออนไลน์อย่างยั่งยืน Thailand E-Commerce Selection Expo 2025 มหกรรมคัดเลือกสินค้าสำหรับการค้าออนไลน์ข้ามพรมแดน ติดตามอัปเดตข่าวสาร รายชื่อโรงงาน และกิจกรรมภายในงาน ผ่านทางเพจ Facebook: Thailand E-Commerce Selection Expo 2025 หรือติดต่อสอบถามได้ที่ อีเมล : office@aitia.or.th

เที่ยวไทยอุ่นใจได้ ททท. เร่งเสริมความเชื่อมั่นการเดินทางท่องเที่ยวไทย เปิดตัวตราสัญลักษณ์ “Trusted Thailand” พร้อมยกระดับมาตรฐานเสริมความมั่นใจนักท่องเที่ยวทุกย่างก้าว เตรียมนำร่องประเมินโรงแรมที่พัก เริ่มภายในกันยายน นี้

เที่ยวไทยอุ่นใจได้ ททท. เร่งเสริมความเชื่อมั่นการเดินทางท่องเที่ยวไทย เปิดตัวตราสัญลักษณ์ “Trusted Thailand” พร้อมยกระดับมาตรฐานเสริมความมั่นใจนักท่องเที่ยวทุกย่างก้าว เตรียมนำร่องประเมินโรงแรมที่พัก เริ่มภายในกันยายน นี้
กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) จัดกิจกรรมฟื้นฟูความเชื่อมั่นในการเดินทางท่องเที่ยว พร้อมเปิดตัวตราสัญลักษณ์ “Trusted Thailand” ชี้ความปลอดภัยเป็นหัวใจสำคัญของการเดินทาง เตรียมยกระดับผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยว ผ่าน 4 เกณฑ์ประเมินหลัก ประกอบด้วย มาตรการรักษาความปลอดภัยทั่วไป การชำระเงิน การสื่อสารภาษาต่างประเทศ การเดินทางเข้าถึงและเชื่อมต่อระบบขนส่งสาธารณะ โดยจะเริ่มนำร่องโครงการกับผู้ประกอบการกลุ่มโรงแรมที่พัก ตราสัญลักษณ์นี้จะเป็นเครื่องหมายแห่งความเชื่อมั่น ช่วยให้นักท่องเที่ยวเลือกใช้บริการได้อย่างมั่นใจ พร้อมสัมผัสประสบการณ์ท่องเที่ยวไทยอย่างอุ่นใจและประทับใจในทุกมิติ โดยจะเริ่มให้ผู้ประกอบการสมัครเข้าร่วมขอรับตราสัญลักษณ์ฯ ตั้งแต่เดือนกันยายน 2568 นี้
 
นายจักรพล ตั้งสุทธิธรรม ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวว่า รัฐบาลไทยตระหนักดีว่า “ความบปลอดภัย” คือหัวใจสำคัญของการท่องเที่ยวที่ยั่งยืน และถือเป็นนโยบายลำดับแรกที่รัฐบาลมุ่งมั่นผลักดันอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับนักท่องเที่ยวจากสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งถือเป็นกลุ่มเป้าหมายสำคัญที่ยังคงมีฐานตลาดขนาดใหญ่ ทั้งนี้ เพื่อเสริมความเชื่อมั่นในการเดินทางท่องเที่ยวประเทศไทย รัฐบาลจึงได้ดำเนินมาตรการด้านความปลอดภัยควบคู่กับการส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการยกระดับมาตรฐานสถานที่ท่องเที่ยว การประสานความร่วมมือกับหน่วยงานด้านความมั่นคงในการดูแลความปลอดภัยนักท่องเที่ยว การสื่อสารข้อมูลที่ถูกต้อง รวมถึงการอำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยวในทุกมิติ ซึ่งจะมาช่วยสนับสนุนการเติบโตของการท่องเที่ยว และสะท้อนถึงความร่วมมือจากทุกภาคส่วน เพื่อให้ประเทศไทยยังคงเป็นจุดหมายปลายทางอันดับต้น ๆ ในใจของนักท่องเที่ยว
นางสาวฐาปนีย์  เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการ ททท. กล่าวว่า การขับเคลื่อนสู่การท่องเที่ยวคุณภาพนั้น        เป็นหัวใจสำคัญที่ ททท. ยึดถือมาโดยตลอด โดยปัจจุบัน “ความปลอดภัย” กลายเป็นปัจจัยลำดับต้นในการตัดสินใจเดินทางของนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะกลุ่มนักเดินทางรุ่นใหม่ที่นิยมท่องเที่ยวอย่างอิสระ (FIT) ประกอบกับสัดส่วนของกลุ่มนักท่องเที่ยวผู้หญิงและกลุ่มครอบครัวที่เพิ่มสูงขึ้น รวมทั้งความคาดหวังจากกลุ่มนักท่องเที่ยวคุณภาพในตลาดหลัก อาทิ สาธารณรัฐประชาชนจีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร และสหภาพยุโรปที่ต่างให้ความสำคัญต่อมาตรการด้านความปลอดภัยที่รัดกุม มีระบบ และเชื่อถือได้ ดังนั้น การยกระดับห่วงโซ่อุปทานด้านการท่องเที่ยวของผู้ประกอบการ โดยเฉพาะด้านความปลอดภัย จึงเป็นภารกิจเร่งด่วนที่ต้องดำเนินการ เพื่อสร้างการยอมรับในระดับนานาชาติ ฟื้นฟูภาพลักษณ์ และเพื่อเตรียมความพร้อมก่อนเข้าสู่ฤดูกาลท่องเที่ยว ตลอดจนยืนยันความมั่นใจของประเทศไทยในฐานะจุดหมายปลายทางที่ปลอดภัย เชื่อถือได้ และเป็นมิตรต่อนักท่องเที่ยว
เพื่อให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวที่มี “คุณภาพ และความเชื่อมั่นในบริการ” ที่เป็นรูปธรรม และสามารถสื่อสารได้อย่างชัดเจนทั้งในระดับประเทศและระดับสากล ททท.จึงผลักดันตราสัญลักษณ์ “Trusted Thailand” ให้เป็นตราสัญลักษณ์แห่งความเชื่อมั่น โดยจะนำร่องในสถานประกอบการโรงแรม ที่พัก ช่วงเดือนกันยายน 2568 ก่อนขยายสู่สถานประกอบการอื่น ๆ อาทิ ร้านอาหาร สถานที่ท่องเที่ยว และห้างสรรพสินค้าและศูนย์การค้า
สำหรับการจัดกิจกรรมฟื้นฟูความชื่อมั่นในการเดินทางท่องเที่ยวและเปิดตัวตราสัญลักษณ์ “Trusted Thailand” ประกอบด้วย เวทีเสวนามาตรการดูแลรักษาความปลอดภัยนักท่องเที่ยว โดยมี ททท. พร้อมผู้แทนจากหน่วยงานพันธมิตร อาทิ กรมการปกครอง กรมการท่องเที่ยว กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว กรมการขนส่งทางบก และแกร็บ ประเทศไทย ร่วมนำเสนอแนวทางการดูแลและเสริมสร้างมาตรการความปลอดภัย ครอบคลุมทั้งด้านการบริหารจัดการ การกำกับดูแล และการบริการนักท่องเที่ยว พร้อมกันนี้ยังมีการจัดอบรมเชิงปฏิบัติการ (Workshop) ด้านความปลอดภัยในการให้บริการรถโดยสารสาธารณะ ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญของระบบขนส่งนักท่องเที่ยว เพื่อยกระดับมาตรฐานบริการ และส่งมอบประสบการณ์ท่องเที่ยวไทยที่มั่นใจและน่าประทับใจแก่นักท่องเที่ยวจากทั่วโลก
โครงการ Trusted Thailand จะเปิดรับลงทะเบียนผู้ประกอบการในเดือนกันยายนนี้ บนเว็บไซต์ www.tourismthailand.org/trustedthailand และจะเผยแพร่รายชื่อสถานประกอบการที่ได้รับตราสัญลักษณ์ให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวเข้าถึงได้อย่างสะดวก โดยตราสัญลักษณ์ “Trusted Thailand” จะมอบให้กับสถานประกอบการที่ให้ความสำคัญกับ 4 มิติหลัก ได้แก่ 1) มาตรการรักษาความปลอดภัยทั่วไปสำหรับนักท่องเที่ยว เช่น การติดตั้งกล้องวงจรปิด ระบบแจ้งเหตุฉุกเฉิน การวางแผนการจัดการพื้นที่อย่างปลอดภัย 2) มาตรการในการควบคุมความปลอดภัยในการชำระเงิน การเชื่อมต่อกับแพลตฟอร์มการเงินที่ปลอดภัยและเป็นที่ยอมรับในตลาดหลัก เช่น Alipay, WeChat Pay 3) การสื่อสารภาษาต่างประเทศ ความพร้อมของผู้ประกอบการต่อการดูแลนักท่องเที่ยวด้วยความเอาใจใส่และเป็นมืออาชีพ และ 4) ความปลอดภัยในการเดินทางเข้าถึง เส้นทางที่ปลอดภัยมีจุดที่ตั้งที่ชัดเจนสำหรับนักท่องเที่ยว การติดตั้งป้ายหรือจุดให้ข้อมูล การเชื่อมต่อกับระบบขนส่งสาธารณะอย่างปลอดภัย รวมถึงข้อมูลของสถานประกอบการที่ได้รับตราสัญลักษณ์ในรูปแบบ QR Code ทั้งนี้ ผู้ที่สนใจสามารถติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ 1672 Travel Buddy

วันอังคารที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2568

ผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้าเตือนรัฐบาลไทย อย่าเดินตามรอยสิงคโปร์ ทำตลาดมืดขยายตัว!

ผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้าเตือนรัฐบาลไทย อย่าเดินตามรอยสิงคโปร์ ทำตลาดมืดขยายตัว!


กลุ่มผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้าเตือนรัฐบาลไทย หลังสิงคโปร์มีแนวคิดใช้มาตรการเข้มงวดขึ้นกับบุหรี่ไฟฟ้า ชี้หากไทยจะนำแนวทางนี้มาใช้ อาจส่งผลเสียมากกว่าผลดี เพราะไม่สามารถบังคับใช้กฎหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพเท่ากับสิงคโปร์ เน้นการควบคุมให้ถูกกฎหมายคือสิ่งที่สำคัญที่สุด

จากกรณีที่นายลอว์เรนซ์ หว่อง นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ ประกาศยกระดับมาตรการควบคุมบุหรี่ไฟฟ้าให้เทียบเท่ากับยาเสพติด โดยจะเอาผิดทั้งผู้ใช้ ผู้จำหน่าย และผู้นำเข้า เพื่อปกป้องสุขภาพประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มเยาวชน นายสาริษฏ์ สิทธิเสรีชน เจ้าของเฟซบุ๊กเพจ “มนุษย์ควัน” ที่มีผู้ติดตามกว่า 2.6 หมื่นคน ได้แสดงความเห็นว่า 
ท่าทีของสิงคโปร์ไม่เหมาะสมกับบริบทของประเทศไทยเพราะเราไม่สามารถบังคับใช้กฎหมายและขจัดการคอรัปชั่นได้แบบสิงคโปร์

นายสาริษฏ์ กล่าวว่า “ประเทศไทยมักเลือกนำตัวอย่างจากประเทศอื่นมาเป็นข้ออ้างในการแบนบุหรี่ไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง การที่สิงคโปร์ออกมาประกาศนโยบายนี้ สวนทางกับกว่า 91 ประเทศทั่วโลกที่อนุญาตให้ใช้บุหรี่ไฟฟ้าอย่างถูกกฎหมาย เป็นทางเลือกให้กับผู้สูบ เช่น อังกฤษ ที่มีคำแนะนำให้ประชาชนใช้บุหรี่ไฟฟ้าเป็นเครื่องมือช่วยเลิกบุหรี่ด้วยซ้ำ จนทำให้อัตราการสูบบุหรี่ลดต่ำสุดเหลือเพียง 11% เท่านั้น ขณะที่สิงคโปร์ดำเนินนโยบายควบคุมยาสูบตามหลัก MPOWER ขององค์การอนามัยโลกอย่างเข้มงวด และเลือกที่จะเข้มกว่าเดิม กลับมีอัตราการสูบบุหรี่คงตัวอยู่ที่ราว 10-16% มานานกว่าทศวรรษ ไม่ต่างจากประเทศไทยที่อัตราการสูบบุหรี่ยังสูงถึง 16.5% ในปี 2567”

นายสาริษฏ์ เสริมว่า “หากเปรียบเทียบประเทศที่ใช้นโยบาย MPOWER เช่น ตุรกี บราซิล กับประเทศที่อนุญาตให้ผลิตภัณฑ์ทางเลือกถูกกฎหมาย เช่น ญี่ปุ่น สวีเดน และนิวซีแลนด์ การลดลงของอัตราการสูบบุหรี่ในประเทศ 2 กลุ่มนี้ต่างกันมาก ไทยต้องยอมรับว่าเราไม่มีความสามารถในการบังคับใช้กฎหมายได้เท่าสิงคโปร์ เราทุ่มงบประมาณและกำลังพลปราบปรามบุหรี่ไฟฟ้ามาหลายเดือน แต่กลับเห็นบุหรี่เถื่อนและบุหรี่ไฟฟ้าพุ่งสูงขึ้น แม้ว่ารัฐบาลใจใช้มาตรการที่เข้มงวดมากขึ้น แต่ตลาดมืดก็สามารถหาช่องทางและวิธีการใหม่ ๆ เพื่อเข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้นอยู่ดี รัฐบาลควรจะใช้กำลังพลและงบประมาณเพื่อปราบปรามยาเสพติดร้ายแรงอื่น ๆ มากกว่าที่จะมาไล่จับบุหรี่ไฟฟ้าที่เป็นสินค้าถูกกฎหมายในประเทศส่วนใหญ่ในโลกไปแล้ว”

ตัวแทนผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้าชี้ว่า ถึงเวลาแล้วที่รัฐบาลไทยควรพิจารณาทางเลือกอื่นนอกจากการแบนเพียงอย่างเดียว เพราะมาตรการที่ผ่านมาไม่เคยให้ผลในเชิงบวก นอกจากนี้ไทยยังมีรายงานผลการศึกษาจากคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ที่ศึกษาเกี่ยวกับมาตรการควบคุมบุหรี่ไฟฟ้า และผ่านการรับทราบจากสภาผู้แทนราษฎรแล้ว ซึ่งในรายงานฉบับนี้ได้ระบุถึงข้อดีข้อเสียของมาตรการควบคุม และเสนอแนวทางที่เป็นประโยชน์จากต่างประเทศไว้ชัดเจน หวังว่ารัฐบาลจะนำรายงานดังกล่าวมาใช้ประโยชน์อย่างจริงจัง โดยเฉพาะนำบุหรี่ไฟฟ้ามาควบคุมให้ถูกต้องตามกฎหมาย

ที่มา: เพจ มนุษย์ควัน https://www.facebook.com/share/p/1MRMBZjGZ7/

ชมรมศิลปินสยามร่วมกับ At Siam Gallery โดยการสนับสนุนของศูนย์การค้าริเวอร์ไซด์ พลาซ่า กรุงเทพฯ จัดแสดงผลงานศิลปะและภาพเขียน “Art of Life ศิลปะแห่งชีวิต” ร่วมสร้างสรรค์ผลงานโดยกลุ่มศิลปินอิสระแนวหน้าของไทย ถ่ายทอดแนวความคิด “ศิลปะแห่งชีวิต” ผ่านผลงานอันทรงคุณค่า เปี่ยมด้วยความหมายของชีวิตเหมาะแก่การสะสมไว้เป็นสมบัติล้ำค่าสืบไป รายได้หลังหักค่าใช้จ่ายมอบแด่ ทหารที่ปกป้องอธิปไตยตามแนวชายแดน

ชมรมศิลปินสยามร่วมกับ At Siam Gallery โดยการสนับสนุนของศูนย์การค้าริเวอร์ไซด์ พลาซ่า กรุงเทพฯ จัดแสดงผลงานศิลปะและภาพเขียน “Art of Life ศิลปะแห่งชีวิต” ร่วมสร้างสรรค์ผลงานโดยกลุ่มศิลปินอิสระแนวหน้าของไทย ถ่ายทอดแนวความคิด “ศิลปะแห่งชีวิต” ผ่านผลงานอันทรงคุณค่า เปี่ยมด้วยความหมายของชีวิตเหมาะแก่การสะสมไว้เป็นสมบัติล้ำค่าสืบไป รายได้หลังหักค่าใช้จ่ายมอบแด่ ทหารที่ปกป้องอธิปไตยตามแนวชายแดน 


ที่ CO-Creative Space  ชั้น 3 ศูนย์การค้าริเวอร์ไซด์พลาซ่า ถนนเจริญนคร เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2568 พลเรือเอก วัลลภ หังสวนัส อดีตผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ กองทัพเรือ เป็นประธานเปิดนิทรรศการศิลปะและภาพเขียน ART OF LIFE ศิลปะแห่งชีวิต โดยความร่วมแรงร่วมใจของศิลปินกว่าสิบชีวิตเพื่อเผยแพร่ผลงานศิลปะให้ถึงมือผู้ที่ต้องการครอบครองเป็นเจ้าของสะสมผลงานหรือส่งมอบเป็นของขวัญพิเศษในวาระโอกาสมงคล โดยมี คุณมงคล ไชยวงศ์ ประธานชมรมศิลปินสยาม คุณเสาวนีย์ ลัทธะทานันท์ ผู้จัดการทั่วไปศูนย์การค้า ริเวอร์ไซด์ พลาซ่า พร้อมศิลปินเจ้าของผลงาน ร่วมในพิธี


พลเรือเอก วัลลภ หังสวนัส กล่าวเปิดงานว่า ศิลปะภาพเขียนเป็นสื่อกลางในการถ่ายทอดเรื่องราว จินตนาการและความงาม ดึงดูดให้ผู้สนใจในงานศิลปะเกิดความดื่มดำ่ประทับใจ ซึ่งงานนี้เราใช้ชื่อว่า ART OF LIFE ศิลปะแห่งชีวิต เกิดจากฝีมือของศิลปิน 14 ท่าน 61 ภาพวาด มีทั้งภาพสีนำ้ สีนำ้มันและสีอะคริลิก มีทั้งคุณค่าและความหมาย แสดงถึงความมีอารยธรรมและความเจริญรุ่งเรืองของไทย ที่สำคัญคือ รายได้จากการจำหน่ายภาพวาดจะนำไปสนับสนุนทหารชายแดนที่ทำหน้าที่ปกป้องประเทศชาติ จึงขอขอบคุณทุกภาคส่วนที่ช่วยกันสนับสนุนให้งานนี้ประสบความสำเร็จตามที่ตั้งเป้าหมายไว้


คุณมงคล ไชยวงศ์ กล่าวว่า ชมรมศิลปินสยามได้ทำงานร่วมกับศิลปินมานานนับสิบปี และได้มีการนำผลงานศิลปะไปจัดแสดงเผยแพร่ทั้งในประเทศและต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง ครั้งนี้ขอเรียนเชิญท่านให้เกียรติเข้าชมนิทรรศการศิลปะและภาพเขียน ART OF LIFE และสนับสนุนผลงานทรงคุณค่าของศิลปินไทย ตั้งแต่20 สิงหาคม – 8 กันยายน 2568 ณ ห้องแสดงนิทรรศกาล Co-Creative space 3rd floor ศูนย์การค้าริเวอร์ไซด์ พลาซ่า กรุงเทพฯ (ถนน เจริญนคร) หรือ เข้าชมงานศิลปะ online โดยการแสกน QR code ของโครงการแสดงนิทรรศการศิลปะในครั้งนี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป


“ขอเชิญชวนนักสะสมและผู้ที่ชื่นชอบภาพวาดแนว อิมเพรสมาชมงาน และให้การสนับสนุนศิลปินไทยระดับแนวหน้า เพื่อนำเงินส่วนหนึ่งจากรายได้ไปช่วยกันดูแลทหารที่ตรากตรำทำหน้าที่อย่างหนักอยู่ที่ชายแดน แม้จะเป็นเงินเล็กน้อยแต่พวกเราอยากแสดงน้ำใจให้แก่ รั้วของชาติด้วยกัน ”


*สอบถามเพิ่มเติมโทร 081-736-0188, 087-714-4447